วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555




พายุหมุนเขตร้อน 
   
 

CYCLONE
Nagis  
พายุหมุนเขตร้อน 
     พายุหมุนเขตร้อน เป็นคำทั่วๆไปที่ใช้เรียกพายุหมุนหรือพายุไซโคลน (Cyclone) ที่มีถิ่นกำเนิดเหนือมหาสมุทรในเขตร้อนแถบละติจูดต่ำ บริเวณที่พายุหมุนปกคลุมแคบกว่าบริเวณพายุหมุนในเขตอบอุ่น พายุดังกล่าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่เจริญเติบโตเต็มที่ จะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดชนิดหนึ่งในบรรดาพายุที่เกิดขึ้นในโลก มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ใหญ่นักประมาณตั้งแต่ 100 กิโลเมตร ขึ้นไป เกิดขึ้นพร้อมกับลมที่พัดรุนแรงมาก ระบบการหมุนเวียนของลมเป็นไป โดยพัดเวียนเป็นวงทวนเข็มนาฬิกา (Cyclonically) ในซีกโลกเหนือ ส่วนทางซีกโลกใต้พัดเวียนตามเข็มนาฬิกาเข้าสู่ศูนย์กลางพายุ ยิ่งใกล้ศูนย์กลางลมจะหมุนเกือบเป็นวงกลม และมีความเร็วสูงที่สุด ลมที่ใกล้ศูนย์กลางมีความเร็วตั้งแต่ 117 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (64 นอต) ขึ้นไป บางครั้งมีความเร็วลมเกินกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (175 นอต) ความกดอากาศต่ำสุดที่บริเวณศูนย์กลางพาย ุโดยทั่วไปต่ำกว่า 1,000 มิลลิบาร์ มีความชันของความกดอากาศ (Pressure Gradient) และความเร็วลมแรงกว่าพายุหมุนนอกเขตร้อน (Extratropical Storm) มีลักษณะอากาศร้ายติดตามมาด้วย เช่น ฝนตกหนักมากกว่าฝนปกติธรรมดาที่เกิดในเขตร้อนมาก บางครั้งมีพายุฟ้าคะนองเกิดขึ้นด้วย ฝนและเมฆมีลักษณะไม่เหมือนกันนักในพายุแต่ละลูก ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นแนวโค้งหมุนเข้าหาศูนย์กลางหรือตาพายุ มีเมฆประเภทคิวมูลัส (Cumulus) และ คิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) ที่มีฝนอยู่ด้วย เกิดคลื่นสูงใหญ่ในทะเล 
ภาพกำเนิดขึ้นของพายุ
            
 หย่อมความกดอากาศต่ำ                                หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง  
         
พายุดีเปรสชั่น                                            พายุโซนร้อน  
   
พายุไต้ฝุ่น หรือเฮอริเคน
 แหล่งกำเนิดของพายุหมุนเขตร้อน 
      บริเวณที่มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นเป็นประจำ ได้แก่   
มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก ทางตะวันตกของลองจิจูด 170 ํ ตะวันออก เมื่อมีกำลังแรงสูงสุดเรียกว่า "ไต้ฝุ่น" เกิดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม  มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือแถวทะเลแคริบเบียนและอ่าวเม็กซิโก เรียกว่า "เฮอร์ริเคน" เกิดมากในเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม 
     - มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ฝั่งตะวันตกของประเทศเม็กซิโก เรียกว่า "เฮอร์ริเคน" 
     - บริเวณมหาสมุทรอินเดียเหนือ อ่าวเบงกอล เรียกว่า "ไซโคลน" 
     - บริเวณมหาสมุทรอินเดียเหนือ ทะเลอาระเบีย เรียกว่า "ไซโคลน" 
     - มหาสมุทรอินเดียใต้ ตะวันตกของลองจิจูด 90 ํ ตะวันออก เรียกว่า "ไซโคลน" 
     - มหาสมุทรอินเดียใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย เรียกว่า "วิลลี่      วิลลี่ 
 
  
                              พายุที่เกิดในส่วนต่างๆของโลก
      พายุหมุนเขตร้อนเมื่ออยู่ในสภาวะที่เจริญเติบโตเต็มที่ จะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดชนิดหนึ่งในบรรดาพายุที่เกิดขึ้นในโลก มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณตั้งแต่ 100 กิโลเมตรขึ้นไป และเกิดขึ้นพร้อมกับลมที่พัดแรงมาก ระบบการหมุนเวียนของลมเป็นไป โดยพัดเวียนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาเข้าสู่ศูนย์กลางของพายุในซีกโลกเหนือ ส่วนในซีกโลกใต้พัดเวียนตามเข็มนาฬิกา ยิ่งใกล้ศูนย์กลางลมจะหมุนเกือบเป็นวงกลมและมีความเร็วสูงที่สุด  
 
มาตรฐานการวัดความเร็วลมในพายุ  
      ความเร็วลมสูงสุดที่บริเวณใกล้ศูนย์กลางนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาความรุนแรงของพายุ ซึ่งในย่านมหาสมุทรแปซิ-ฟิกเหนือด้านตะวันตก และทะเลจีนใต้มีการแบ่งตามข้อตกลงระหว่างประเทศดังนี้
            - พายุดีเปรสชั่น ความเร็วลมไม่เกิน 33 นอต (61 กม./ชม.) 
            - พายุโซนร้อน ความเร็วลม 34 - 63 นอต (62 - 117 กม./ชม.) 
            - ไต้ฝุ่น ความเร็วลม 64 นอตขึ้นไป (118 กม./ชม.ขึ้นไป)
 ระดับพายุเฮอร์ริเคนตามมาตรวัดของแซฟไฟร์-ซิมป์สัน 
"Saffir-Simpson Hurricane Scale"

     การจัดระดับเฮอร์ริเคนตามความรุนแรงของแรงลมที่ก่อให้เกิดพายุ ซึ่งพัฒนาขึ้นในปี 1969 โดยเฮอร์เบิร์ตแซฟไฟร์ วิศวกรโยธา และบ็อบ ซิมป์สัน ผู้อำนวยการศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็น 5ระดับด้วยกัน และระดับ 5 คือระดับสูงที่สุดทั้งนี้การจัดระดับดังกล่าวถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินความเสียหายและอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นจากพายุเฮอร์ริเคนเมื่อพัดขึ้นสู่ชายฝั่งโดยการจัดระดับนี้จะใช้กับเฮอร์ริเคนที่ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกและทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกเท่านั้น

ระดับ 1 (Category 1)
- ความเร็วลม 74-95 ไมล์ต่อชั่วโมง(119-153 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) 
- ความสูงของคลื่น 1.2-1.5 เมตร 
- ความกดอากาศ 980 มิลลิบาร์ 
- อานุภาพในการทำลายล้าง เล็กน้อย 
ไม่ส่งผลต่อสิ่งก่อสร้าง มีน้ำท่วมบ้างตามชายฝั่ง ท่าเรือเสียหายเล็กน้อย 
ตัวอย่างของเฮอร์ริเคนระดับนี้ได้แก่ Hurricane Isabel ซึ่งขึ้นฝั่ง ใกล้ ๆ เกาะ Drum Inlet 
นอกชายฝั่งรัฐ N.Carolina ปี 2003 และ Hurricane Georges ขึ้นฝั่ง Florida Key และ Mississippi และHurricane Bonnie ปี 1988
ระดับ 2 (Category 2)
- ความเร็วลม 96-110 ไมล์ต่อชั่วโมง (154-177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) 
- ความสูงของคลื่น 1.8-2.4 เมตร 
- ความกดอากาศ 965-979 มิลลิบาร์ 
- อานุภาพในการทำลายล้าง น้อย 
หลังคา ประตูหน้าต่างบ้านเรือนมีเสียหายบ้าง ก่อให้เกิดน้ำท่วมทำลายท่าเรือ 
จนถึงอาจทำให้สมอเรือที่ไม่ได้ป้องกันไว้หลุดหรือขาดได้ ตัวอย่างของเฮอร์ริเคนระดับนี้ได้แก่ HurricaneIsabel ซึ่งขึ้นฝั่ง ใกล้ ๆ เกาะ Drum Inlet นอกชายฝั่งรัฐ N.Carolina ปี 2003 และ Hurricane Georgesขึ้นฝั่ง Florida Key และ Mississippi และ Hurricane Bonnie ปี 1988
ระดับ 3 (Category 3)
- ความเร็วลม 111-130 ไมล์ต่อชั่วโมง (178-209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) 
- ความสูงของคลื่น 2.7-3.7 เมตร 
- ความกดอากาศ 945-964 มิลลิบาร์ 
- อานุภาพในการทำลายล้าง ปานกลาง 
ทำลายโครงสร้างที่อยู่อาศัยขนาดเล็กได้บ้าง โทรศัพท์บ้านถูกตัดขาด 
แผงป้องกันพายุตามบ้านเรือนได้รับความเสียหาย อาจเกิดน้ำท่วมขังเข้ามาถึงพื้นดินส่วนใน เช่น HurricaneJeanne,Hurricane Ivan ขึ้นฝั่ง Florida ปี 2004 (ฟลอริด้าปี 2004 นี้โชคร้ายมาก ๆ 
เพราะโดนเฮอร์ริเคนกระหน่ำหนัก ๆ ถึง 5 ลูกในเวลาที่ติด ๆ กัน) และมี Hurricane Roxanne ขึ้นฝั่งที่Florida และ Alabama ปี1995 และยังมี Hurricane Fran ขึ้นฝั่งที่ Yucatan Penninsula ของเม็กซิโกในปี1996 และที่ N.Carolina
ระดับ 4 (Category 4)
- ความเร็วลม 131-155 ไมล์ต่อชั่วโมง (210-249 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) 
- ความสูงของคลื่น 4.0-5.5 เมตร 
- ความกดอากาศ 944-920 มิลลิบาร์ 
- อานุภาพในการทำลายล้าง สูง 
แผงป้องกันพายุเสียหายหนักยิ่งขึ้น หลังคาบ้านเรือนบางแห่งถูกทำลาย น้ำท่วมเข้ามาถึงพื้นดินส่วนใน เช่นHurricane Charley ขึ้นฝั่งที่ฟลอริด้า วันที่ 13 สิงหาคม 2004 และ Hurricane Dennisซึ่งกระหน่ำเกาะคิวบา และ Hurricane Andrew ขึ้นฝั่งที่ฟลอริด้าวันที่ 24 สิงหาคม 1992 
สร้างความเสียหายมากที่สุดซึ่งความเสียหายมีมูลค่าถึง 26.5 Billions Dollars
ระดับ 5 (Category 5)
- ความเร็วมากว่า 155 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไป( 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) 
- ความสูงของคลื่นไม่น้อยกว่า 5.5 เมตร 
- ความกดอากาศ น้อยกว่า 920 มิลลิบาร์ 
- อานุภาพในการทำลายล้าง สูง 
หลังคาบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมถูกทำลาย ตึกรามบางแห่งอาจถูกพัดถล่ม 
เกิดน้ำท่วมขังปริมาณมากถึงขั้นทำลายข้าวของในชั้นล่างของบ้านเรือนใกล้ชายฝั่ง 
และอาจต้องมีการประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ทำการอพยพโดยด่วน เช่น The Labor Day Hurricane ขึ้นฝั่งที่ฟลอริด้าปี 1935 และ Hurricane Camille ขึ้นฝั่งที่มิสซิสซิปปี้ปี 1969

                       ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากพายุเขตร้อนเหล่านี้ ได้แก่  
  
 - 
ลมพัดแรง (Violent Winds)  
 - คลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surges) เป็นอันตรายต่อเรือประมง 
 - คลื่นพายุซัดฝั่งและฝนที่ตกอย่างหนัก (Torrential Rain) อาจทำให้เกิดน้ำท่วมได้ 
 - การพังทลายของพื้นที่ลาดเอียง ซึ่งอาจเกิดจากการกัดเซาะของพื้นที่ชายฝั่งทะเล 
 ทำลายเส้นทางคมนาคม เสาไฟฟ้าล้ม อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร และก่อให้เกิดเพลิงไหม้ตามมาได้ 
 ทำให้น้ำใช้ในการอุปโภคบริโภคสกปรก
การเตรียมการและการป้องกัน

- ติดตามสภาวะอากาศ ฟังคำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา 
- สอบถามและแจ้งสภาวะอากาศผิดปกติ 
- ติดตั้งสายล่อฟ้าสำหรับอาคารสูง 
- ปลูกสร้าง/ซ่อมแซมอาคารให้แข็งแรง เพื่อป้องกันภัยให้สัตว์เลี้ยงและพืชผลการเกษตร 
- ไม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ขณะมีฝนฟ้าคะนอง 
- ไม่ใส่เครื่องประดับโลหะ และอยู่กลางแจ้ง ขณะมีฝนฟ้าคะนอง 
- เตรียมเครื่องอุปโภค บริโภค ไฟฉาย แบตเตอรี่ และวิทยุกระเป๋าหิ้วเพื่อติดตามข่าวสาร รวมทั้งมีการฝึกซ้อมการป้องกันภัยพิบัติ เตรียมความพร้อม และวางแผนการอพยพหากจำเป็น  
                                                    การตั้งชื่อพายุ    
                                       เหตุผลในการตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน        ในปีหนึ่งๆ จะมีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นหลายลูก และหากมีพายุมากกว่า    1 ลูกเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันจะก่อให้เกิดความสับสน    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าการเรียกพายุ โดยใช้ชื่อสั้นๆ ในการเขียนหรือพูดติดต่อสื่อสารจะช่วยให้รวดเร็วและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่าวิธีการที่ต้องยุ่งยากกับการระบุละติจูด–ลองจิจูด   ด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งชื่อพายุเพื่อประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และเพื่อลดความสับสนในการติดต่อสื่อสารระหว่างนักพยากรณ์อากาศกับสาธารณชน รวมทั้งเพื่อให้ง่ายต่อการเฝ้าระวังและเตือนภัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น