
![]() |
บัญชา ธนบุญสมบัติ
buncht@mtec.or.th
ในช่วงหน้าฝนอย่างนี้
เรามักจะได้ยินข่าวดินถล่มและโคลนถล่มอยู่เป็นระยะ
อย่างเมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2547
ประมาณตีสองครึ่ง แม่สายก็โดนซะอ่วม
ซึ่งตามข่าวพาดหัวว่า "น้ำป่า-โคลนถล่ม 'แม่สาย'
เสียหาย 20 ล้าน"
และบ้านเรือนได้รับความเสียหายราว 300 หลังคาเรือน
แถมพอน้ำลดลงในตอนเช้า ก็ทิ้งโคลนไว้ตามท้องถนนหนา
30 ถึง 70 เซนติเมตร
มักจะอธิบายกันง่ายๆ ว่า ดินถล่ม (และโคลนถล่ม)
เกิดจากการที่ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักบนภูเขาที่มีการตัดไม้ทำลายป่า
ทำให้ดินอุ้มน้ำไม่ได้มาก
และไม่มีรากต้นไม้คอยยึดเกาะเอาไว้
ยิ่งในกรณีที่มีผู้ใหญ่ไปตรวจเยี่ยม (หลังน้ำลด)
แล้วเห็นกองไม้ที่ถูกน้ำป่าพัดพามากองพะเนินสุดแสนอลังการ
ก็ยิ่งทำให้มั่นใจในทฤษฎีนี้
ส่งผลให้ผู้น้อยที่รับผิดชอบในบริเวณนั้นต้องรีบดำเนินการหาผู้กระทำผิดกันจ้าละหวั่น
คำอธิบายที่ว่ามานี้แม้จะไม่ผิด แต่ก็ยังไม่ครบ
เพราะยังขาดมุมมองสำคัญทางธรณีวิทยา
ซึ่งศึกษาเรื่องนี้โดยตรง คำว่า
ดินถล่มและโคลนถล่มที่เราได้ยินกันบ่อยๆ นั้น
เป็นคำพูดง่ายๆ แต่ถ้าเป็นภาษาวิชาการ
นักธรณีวิทยาจะใช้ศัพท์เท่ๆ
เรียกเหตุการณ์ลักษณะนี้แบบรวมๆ ว่า การย้ายมวล
(mass wasting) ซึ่งหมายถึงการที่ดิน โคลน หรือหิน
เคลื่อนที่จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก
ส่วนคำว่า แผ่นดินถล่ม หรือแผ่นดินเลื่อน
(landslide) นั้น มีความหมายกว้างกว่า
โดยหมายถึงการย้ายมวล +
การเคลื่อนไหวของแผ่นดินในรูปแบบอื่นๆ (เช่น
แผ่นดินไหว) เข้าไปด้วย
แต่คำว่าการย้ายมวลก็ยังกว้างเกินไป
ถ้าจะให้ชัดขึ้น ก็ต้องบอกว่า มวลอะไร?
ย้ายอย่างไร? และเร็วแค่ไหน? เช่น
ถ้าหินร่วงหล่นจากหน้าผาอย่างรวดเร็วก็เรียกว่า
เศษหินหล่น (rock fall)
ถ้าพื้นผิวบริเวณกว้างตามลาดเขายุบตัวไถลโค้งเลื่อนลงไปอย่างช้าๆ
ก็เรียกว่า การไถลตัว (slump) ถ้าดิน (หรือหินผุ)
ที่เลื่อนไหลลงมาจากไหล่เขาอย่างช้าๆ ก็เรียก
ดินไหล (earth flow)
แต่ถ้ามีปริมาณน้ำมากจนเคลื่อนได้เร็วขึ้น
เรียกว่า โคลนไหล (mudflow) ซึ่งอาจเร็วถึง 80
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่คำเฉพาะพวกนี้ดูเหมือนจะละเอียดเกินไป
ผมจึงขอใช้ว่า ดินถล่ม (หรือโคลนถล่ม)
ตามความนิยมก็แล้วกัน
แล้วพื้นที่เป็นยังไงถึงจะมีโอกาสถูก "ถล่ม" ?
สาเหตุแรกสุดคือ พื้นที่ต้องเอียงมากพอ (ตำราฝรั่งบอกว่าเกิน
25 องศา ส่วนกรมทรัพยากรธรณีของเราบอกว่าเกิน 30
องศา) โดยยิ่งเอียงมาก โอกาสถล่มก็ยิ่งมาก
อย่างถนนที่ลัดเลาะไปตามหุบเขานั้นมีโอกาสเกิดดินถล่มมาก
เพราะว่าเนื้อภูเขาส่วนบนที่อยู่เหนือส่วนที่ถูกแซะออกไปนั้น
ดูสูงชันขึ้นไปมาก และไม่มีอะไรมาแบกรับน้ำหนัก
จึงมีโอกาสไถลลงมาได้ง่ายเข้า
นอกจากนี้ ถ้าสภาพอากาศทำให้หินผุกร่อน
และสูญเสียความแข็งแกร่งไป ก็เกิดการถล่มได้ง่าย
อย่างในกรณีแผ่นดินถล่มและน้ำท่วมที่ อ.วังชิ้น จ.แพร่
(เมื่อปี 2544) และที่บ้านธารทิพย์ (หมูบูด) ต.บุ่งน้ำเต้า
อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ (เมื่อปี 2543)
นั้นสืบพบว่า
พื้นที่ทั้งสองอยู่ใกล้กับเทือกเขาสูง
และที่สำคัญคือ
เดิมเป็นชั้นหินตะกอนภูเขาไฟที่ปัจจุบันผุพังไปมาก
ทำให้สามารถอุ้มน้ำได้มหาศาล
แต่เมื่อมีน้ำเพิ่มขึ้นมากถึงจุดหนึ่ง
พื้นดินก็สุดจะทนไหว
จึงเลื่อนไถลลงมาตามหน้าของชั้นหินที่มีความชันสูง
ตะกอนดินที่พังถล่มได้ไหลลงมาขวางทางน้ำกระแสหลักทำให้ไหลไม่สะดวก
น้ำก็เลยเอ่อล้นทะลักขึ้นท่วมที่ราบทั้ง 2
ฝั่งอย่างรวดเร็ว
แล้วต้นไม้จะช่วยอะไรได้รึเปล่า? ได้บ้าง
เพราะต้นไม้ช่วยดูดซับน้ำและรากก็ช่วยยึดเหนี่ยวดินไว้
แต่ถ้าฝนกระหน่ำอย่างหนักจนมีน้ำมากเกินไป
ประกอบกับพื้นที่ลาดชันมาก
และเนื้อดินยึดเกาะกันไม่แข็งแกร่งพอ
ก็จะเกิดดินถล่มได้เช่นกัน คราวนี้ยิ่งแย่
เพราะจะถอนรากถอนโคนต้นไม้ลงมาพร้อม ๆ กับดิน (หรือโคลน)
ด้วยเป็นของแถม!
ถ้ามีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งวัน
ระดับน้ำในลำห้วยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
น้ำเปลี่ยนสีเหมือนสีดินบนภูเขา มีเสียงดังอู้
อื้ออึงมากผิดปกติบนภูเขา
และในลำห้วยเนื่องจากการถล่มและเลื่อนไหลของหินและดิน
รวมทั้งต้นไม้ล้ม
อย่างนี้เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าเกิดดินถล่มแน่แล้ว
ถ้าอยากรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ลองไปศึกษา
คู่มือการป้องภัยธรณีพิบัติภัยจากดินถล่ม ได้ที่
http://www.dmr.go.th/geohazard/landslide/p1.htm
หรือจะโทรสอบถามกรมทรัพยากรธรณีได้ที่ โทร
0-2202-3926 โทรสาร 0-2202-3927
ได้รู้จักสัญญาณเตือนภัยดินถล่มกันไปแล้ว
ส่วนชัยชนะแบบแผ่นดินถล่ม (a landslide victory)
ของคุณอภิรักษ์ เบอร์ 1 นั้นจะเป็นสัญญาณ (เตือนภัย?)
ของอะไร (หรือของใคร?) ...
ลองวิเคราะห์กันเองก็แล้วกันคร้าบ ;-)
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น