วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รู้ได้อย่างไรว่าที่ไหนจะเกิด ดินถล่ม-โคลนถล่ม?


 

 
บัญชา ธนบุญสมบัติ buncht@mtec.or.th
ในช่วงหน้าฝนอย่างนี้ เรามักจะได้ยินข่าวดินถล่มและโคลนถล่มอยู่เป็นระยะ อย่างเมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2547 ประมาณตีสองครึ่ง แม่สายก็โดนซะอ่วม ซึ่งตามข่าวพาดหัวว่า "น้ำป่า-โคลนถล่ม 'แม่สาย' เสียหาย 20 ล้าน" และบ้านเรือนได้รับความเสียหายราว 300 หลังคาเรือน แถมพอน้ำลดลงในตอนเช้า ก็ทิ้งโคลนไว้ตามท้องถนนหนา 30 ถึง 70 เซนติเมตร
มักจะอธิบายกันง่ายๆ ว่า ดินถล่ม (และโคลนถล่ม) เกิดจากการที่ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักบนภูเขาที่มีการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ดินอุ้มน้ำไม่ได้มาก และไม่มีรากต้นไม้คอยยึดเกาะเอาไว้ ยิ่งในกรณีที่มีผู้ใหญ่ไปตรวจเยี่ยม (หลังน้ำลด) แล้วเห็นกองไม้ที่ถูกน้ำป่าพัดพามากองพะเนินสุดแสนอลังการ ก็ยิ่งทำให้มั่นใจในทฤษฎีนี้ ส่งผลให้ผู้น้อยที่รับผิดชอบในบริเวณนั้นต้องรีบดำเนินการหาผู้กระทำผิดกันจ้าละหวั่น
คำอธิบายที่ว่ามานี้แม้จะไม่ผิด แต่ก็ยังไม่ครบ เพราะยังขาดมุมมองสำคัญทางธรณีวิทยา ซึ่งศึกษาเรื่องนี้โดยตรง คำว่า ดินถล่มและโคลนถล่มที่เราได้ยินกันบ่อยๆ นั้น เป็นคำพูดง่ายๆ แต่ถ้าเป็นภาษาวิชาการ นักธรณีวิทยาจะใช้ศัพท์เท่ๆ เรียกเหตุการณ์ลักษณะนี้แบบรวมๆ ว่า การย้ายมวล (mass wasting) ซึ่งหมายถึงการที่ดิน โคลน หรือหิน เคลื่อนที่จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก ส่วนคำว่า แผ่นดินถล่ม หรือแผ่นดินเลื่อน (landslide) นั้น มีความหมายกว้างกว่า โดยหมายถึงการย้ายมวล + การเคลื่อนไหวของแผ่นดินในรูปแบบอื่นๆ (เช่น แผ่นดินไหว) เข้าไปด้วย
แต่คำว่าการย้ายมวลก็ยังกว้างเกินไป ถ้าจะให้ชัดขึ้น ก็ต้องบอกว่า มวลอะไร? ย้ายอย่างไร? และเร็วแค่ไหน? เช่น ถ้าหินร่วงหล่นจากหน้าผาอย่างรวดเร็วก็เรียกว่า เศษหินหล่น (rock fall) ถ้าพื้นผิวบริเวณกว้างตามลาดเขายุบตัวไถลโค้งเลื่อนลงไปอย่างช้าๆ ก็เรียกว่า การไถลตัว (slump) ถ้าดิน (หรือหินผุ) ที่เลื่อนไหลลงมาจากไหล่เขาอย่างช้าๆ ก็เรียก ดินไหล (earth flow) แต่ถ้ามีปริมาณน้ำมากจนเคลื่อนได้เร็วขึ้น เรียกว่า โคลนไหล (mudflow) ซึ่งอาจเร็วถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่คำเฉพาะพวกนี้ดูเหมือนจะละเอียดเกินไป ผมจึงขอใช้ว่า ดินถล่ม (หรือโคลนถล่ม) ตามความนิยมก็แล้วกัน
แล้วพื้นที่เป็นยังไงถึงจะมีโอกาสถูก "ถล่ม" ? สาเหตุแรกสุดคือ พื้นที่ต้องเอียงมากพอ (ตำราฝรั่งบอกว่าเกิน 25 องศา ส่วนกรมทรัพยากรธรณีของเราบอกว่าเกิน 30 องศา) โดยยิ่งเอียงมาก โอกาสถล่มก็ยิ่งมาก อย่างถนนที่ลัดเลาะไปตามหุบเขานั้นมีโอกาสเกิดดินถล่มมาก เพราะว่าเนื้อภูเขาส่วนบนที่อยู่เหนือส่วนที่ถูกแซะออกไปนั้น ดูสูงชันขึ้นไปมาก และไม่มีอะไรมาแบกรับน้ำหนัก จึงมีโอกาสไถลลงมาได้ง่ายเข้า
นอกจากนี้ ถ้าสภาพอากาศทำให้หินผุกร่อน และสูญเสียความแข็งแกร่งไป ก็เกิดการถล่มได้ง่าย อย่างในกรณีแผ่นดินถล่มและน้ำท่วมที่ อ.วังชิ้น จ.แพร่ (เมื่อปี 2544) และที่บ้านธารทิพย์ (หมูบูด) ต.บุ่งน้ำเต้า อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ (เมื่อปี 2543) นั้นสืบพบว่า พื้นที่ทั้งสองอยู่ใกล้กับเทือกเขาสูง และที่สำคัญคือ เดิมเป็นชั้นหินตะกอนภูเขาไฟที่ปัจจุบันผุพังไปมาก ทำให้สามารถอุ้มน้ำได้มหาศาล แต่เมื่อมีน้ำเพิ่มขึ้นมากถึงจุดหนึ่ง พื้นดินก็สุดจะทนไหว จึงเลื่อนไถลลงมาตามหน้าของชั้นหินที่มีความชันสูง ตะกอนดินที่พังถล่มได้ไหลลงมาขวางทางน้ำกระแสหลักทำให้ไหลไม่สะดวก น้ำก็เลยเอ่อล้นทะลักขึ้นท่วมที่ราบทั้ง 2 ฝั่งอย่างรวดเร็ว
แล้วต้นไม้จะช่วยอะไรได้รึเปล่า? ได้บ้าง เพราะต้นไม้ช่วยดูดซับน้ำและรากก็ช่วยยึดเหนี่ยวดินไว้ แต่ถ้าฝนกระหน่ำอย่างหนักจนมีน้ำมากเกินไป ประกอบกับพื้นที่ลาดชันมาก และเนื้อดินยึดเกาะกันไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะเกิดดินถล่มได้เช่นกัน คราวนี้ยิ่งแย่ เพราะจะถอนรากถอนโคนต้นไม้ลงมาพร้อม ๆ กับดิน (หรือโคลน) ด้วยเป็นของแถม!
ถ้ามีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งวัน ระดับน้ำในลำห้วยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำเปลี่ยนสีเหมือนสีดินบนภูเขา มีเสียงดังอู้ อื้ออึงมากผิดปกติบนภูเขา และในลำห้วยเนื่องจากการถล่มและเลื่อนไหลของหินและดิน รวมทั้งต้นไม้ล้ม อย่างนี้เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าเกิดดินถล่มแน่แล้ว ถ้าอยากรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ลองไปศึกษา คู่มือการป้องภัยธรณีพิบัติภัยจากดินถล่ม ได้ที่ http://www.dmr.go.th/geohazard/landslide/p1.htm หรือจะโทรสอบถามกรมทรัพยากรธรณีได้ที่ โทร 0-2202-3926 โทรสาร 0-2202-3927
ได้รู้จักสัญญาณเตือนภัยดินถล่มกันไปแล้ว ส่วนชัยชนะแบบแผ่นดินถล่ม (a landslide victory) ของคุณอภิรักษ์ เบอร์ 1 นั้นจะเป็นสัญญาณ (เตือนภัย?) ของอะไร (หรือของใคร?) ... ลองวิเคราะห์กันเองก็แล้วกันคร้าบ ;-)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น