วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


สรรพคุณงาดำ
ประโยชน์ของงาดำ งาดำ พืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆมากมาย โดยงา จะมี 2 แบบ คือ งาดำ และ งาขาว นอกจากนี้ ยังมีน้ำมันงาที่นำมาใช้ปรุงอาหาร เพราะมีกลิ่นหอมและกรดไขมันที่มีประโยชน์ ทั้งนี้สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดงาล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดอะมิโนเมธิโอนีน นอกจากนี้ เรายังสกัดน้ำมันจากงาออกมาได้อีกด้วย ซึ่งน้ำมันที่ได้นั้นเป็นน้ำมันงาที่มีคุณสมบัติเยี่ยม คือ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิค ที่ช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น
งายังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง  6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง พร้อมกันนั้นยังมีสารบำรุงประสาทด้วย และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต้านมะเร็งสำหรับประโยชน์ของงาดำนั้น งาดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sesamum orientale L. อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae ชื่อสามัญคือ sesame มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเอธิโอเปีย และถูกนำเข้าไปยังอินเดียและแพร่ต่อไปในจีน แอฟริกาเหนือ เอเซียใต้ และทวีปอเมริกา ซึ่งงาดำมีประโยชน์อย่างมาก การบริโภคงาดำเป็นประจำ จะช่วยให้นอนหลับ กระปรี้กระเปร่า ป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงกระดูก ป้องกันอาการท้องผูก ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร และช่วยบำรุงรากผม   
ส่วนประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือ ถ้าใช้น้ำมันงาดิบนวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ จะช่วยปรับระบบประสาทและระดับฮอร์โมน ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ช่วยคลายเครียดทำให้จิตใจสงบ และยังสามารถนำน้ำมันงาดิบไปใช้นวดตัว เพื่อขจัดอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเข่า เล็ดขัดยอก และทำให้กล้ามเนื้อไม่เหี่ยวย่น ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ หน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เจลงาดำที่พัฒนาได้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษาเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มาตรฐานการรักษาจะให้ยากินเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งช่วยลดการนำเข้าเจลทารักษาจากต่างชาติซึ่งมีราคาแพง
“เจลงาดำ ใช้ง่ายเพียงทาบริเวณที่ข้อเสื่อมหรือปวด สามารถใช้ได้กับคนไข้ทุกเพศทุกวัยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อ ไม่ว่าข้อเสื่อม ข้ออักเสบ โดยเฉพาะคนไข้ที่ไม่ชอบการกินยาซึ่งเป็นมาตรฐานการรักษาโรคข้อในปัจจุบัน”นักวิจัย กล่าว
การศึกษาในห้องปฏิบัติการ 3-4 ปี ทำให้ทีมวิจัยรู้กลไกการออกฤทธิ์ของสารเซซามินที่สกัดได้จากงาดำ ซึ่งให้ผลต่อการป้องกัน การรักษากระดูกอ่อน โรคข้อเสื่อม ได้ทัดเทียมไม่แพ้การรักษาด้วยยากินที่ใช้ในมาตรฐานการรักษาเดิม
นักวิจัย อธิบายกลไกทำงานว่า สารสกัดเซซามินที่ได้จากงาดำ จะทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของสารที่เรียกว่าอินเตอร์ลิวติน-1 เบต้า ซึ่งเป็นตัวเร่งและกระตุ้นให้เกิดการทำลายกระดูกอ่อนในโรคข้อเสื่อม ทำให้อาการของผู้ป่วยหายได้ไม่แพ้การกินยารักษา ที่สำคัญเหมาะสำหรับคนไม่ชอบกินยาเป็นอย่างยิ่ง
การรักษาโรคข้อเสื่อมในปัจจุบัน แพทย์จะนิยมสั่งยากินให้แก่คนไข้โรคข้อเสื่อม อาทิ กลูโคซามินซัลเฟส ซึ่งการกินยาต้องกินเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ทำให้คนไข้บางรายที่ไม่ชอบการกินยา อาจกินยาไม่ต่อเนื่อง และการรักษาหายได้ช้าไปด้วย
ทีมวิจัยจึงเกิดไอเดียในการนำกลูโคซามินซัลเฟสชนิดกินในรูปผงมาปรับสูตรใหม่ โดยนำสารสกัดเซซามินจากงาดำมาใช้เป็นส่วนผสม เพื่อพัฒนาเป็นเจลทาบริเวณที่ข้อมีความผิดปกติหรือเสื่อม ทดแทนการกินยาในการรักษาแบบเดิม
ขณะนี้เจลงาดำจดสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ สำหรับประสิทธิภาพของเจลงาดำ ทีมวิจัยกำลังวางแผนร่วมกับทีมแพทย์ด้านกระดูก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะทำการทดสอบในอาสาสมัครที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคข้อประมาณ 200-300 คน เพื่อเก็บข้อมูลการวิจัยยืนยันประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์
การวิจัยครั้งนี้ ทีมวิจัยได้รับทุนสนับสนุนวิจัยจากหลายที่ด้วยกัน อาทิ ศูนย์ความเป็นเลิศมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมทางเคมี บริษัท ออลเวล สิงคโปร์ จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง โครงการทุนปริญญาเอกกาญจนาภิเษก โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนทุนวิจัยแห่งชาติ เป็นต้น
ทั้งนี้หากงานวิจัยแล้วเสร็จถึงขั้น ขึ้นทะเบียนเป็นยาให้ใช้รักษาในมนุษย์ได้ นักวิจัย กล่าวว่า ทีมวิจัยมีแผนจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัทยาจากภาคเอกชนนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ เพื่อผลิตและจำหน่ายเป็นทางเลือกให้ผู้ป่วยไทยใช้รักษาโรคข้อเสื่อม หรือข้ออักเสบ ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยป่วยเป็นโรคนี้มากกว่า 10% ของประชากรในประเทศทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น