การเกิดน้ำ

เมื่อผิวโลกร้อนอยู่นั้น
ถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มเมฆหมอกของก๊าซต่างๆ
ซึ่งอาจจะกินเวลานานนับล้านปีที่เมฆหมอกเหล่านี้ปกคุมโลกอยู่
ต่อมาเมฆหมอกและก๊าซก็ค่อยๆเย็นตัวลงตามลำดับ
การรวมตัวของก๊าซบางอย่างที่พอเหมาะกับสัดส่วน
ทำให้เกิดละอองไอน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ
เมื่อเย็นลงก็จับตัวกันเป็นหยดน้ำและตกลงมาเป็นฝน
เมื่อฝนตกลงมากระทบผิวโลกที่ยังร้อนอยู่ก็กลายเป็นไอน้ำ
ลอยขึ้นไปรวมตัวกันเป็นเมฆดำและเป็นฝนตกลงมาอีก
เมื่อผิวโลกเย็นตัวลง
ฝนที่ตกลงมาก็ตกค้างเหลืออยู่บนผิวโลกบ้าง
ระเหยกลับขึ้นไปอีกบ้าง
ครั้นฝนตกลงมาเรื่อยๆ
นับเป็นเวลาล้านๆปี
อำนาจของน้ำฝนที่ตกลงมาในที่สูงของแผ่นดิน
ซึ่งต่อมาเราเรียกว่าภูเขานั้นก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำเบื้องล่าง
และขังอยู่ตามแอ่งของผิงโลกคล้ายกับสระน้ำมหึมา
เมื่อฝนค่อยๆเบาบางลงเมฆหมอกก็เริ่มจางลง
น้ำฝนที่ตกลงมาสะสมมากขึ้นก็ทำให้เกิดเป็นมหาสมุทร
เวลาได้ผ่านไปอีกหลายล้านปีกว่าผิวโลก มหาสมุทร และทะเลต่างๆ จะปรากฎออกมาอย่างที่ได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นับแต่ยุคฝนตกใหญ่ และมีน้ำท่วมผิวโลก ทำให้ผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกเรื่อยมา ทำให้บางส่วนที่เคยเป็นพื้นดินยุบตัวลึกลงเป็นทะเลหรือมหาสมุทรไป และส่วนที่เคยจมน้ำอยู่บางส่วนถูกกดดันให้ปูดนูนสูงขึ้นมาพ้นน้ำบ้าง ริมแผ่นดินที่จรดขอบน้ำอันเป็นฝั่งทะเลหรือฝั่งมหาสมุทร ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ทำให้มีลักษระเว้าแหว่งดังเช่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
เวลาได้ผ่านไปอีกหลายล้านปีกว่าผิวโลก มหาสมุทร และทะเลต่างๆ จะปรากฎออกมาอย่างที่ได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นับแต่ยุคฝนตกใหญ่ และมีน้ำท่วมผิวโลก ทำให้ผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกเรื่อยมา ทำให้บางส่วนที่เคยเป็นพื้นดินยุบตัวลึกลงเป็นทะเลหรือมหาสมุทรไป และส่วนที่เคยจมน้ำอยู่บางส่วนถูกกดดันให้ปูดนูนสูงขึ้นมาพ้นน้ำบ้าง ริมแผ่นดินที่จรดขอบน้ำอันเป็นฝั่งทะเลหรือฝั่งมหาสมุทร ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ทำให้มีลักษระเว้าแหว่งดังเช่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น