
แร่รัตนชาติ
รัตนชาติแบ่งเป็น 2 ชนิด
คือ
1)
รัตนชาติที่เป็นสารอินทรีย์ ได้แก่ ไข่มุก ปะการัง อำพัน
2)
รัตนชาติที่เป็นสารอนินทรีย์
ได้แก่ เพชรพลอยต่างๆ
แร่รัตนชาติเป็น “อโลหะ” ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้ให้มาก โดยเฉพาะเพชรพลอยที่แปรรูปเป็นอัญมณีแล้ว
สถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้ ความหมายของรัตนชาติหรืออัญมณีว่า“เป็นแร่และหรือสารประกอบอินทรีย์ที่นำมาใช้เป็นเครื่องประดับ” มีสมบัติสำคัญคือ1. ความสวยงาม 2.ความคงทน
3.ความหายาก 4.ความนิยม และ 5. ความสามารถในการพกพา
ส่วนสารประกอบที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตและจัดเป็นรัตนชาติ
ได้แก่ 1.ไข่มุก 2.ปะการัง 3.อำพัน นอกจากนี้สถาบันดังกล่าว ยังแบ่ง อัญมณีออกเป็น
2 กลุ่มคือ 1.เพชร 2.พลอยหรือหินสี
บ่อพลอยที่เป็นแหล่งผลิตรัตนชาติที่สำคัญและเก่าแก่ของไทยอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี
ส่วนเพชรพบปนอยู่ในลานแร่ดีบุกที่จังหวัดภูเก็ตและพังงา
แต่ปริมาณน้อยและคุณภาพต่ำมาก แร่รัตนชาติ ที่มีชื่อเสียงของไทย ได้แก่ ทับทิมสยาม ไพลินหรือแซปไฟร์สีน้ำเงิน
บุษราคัม
ทับทิมสยามและไพลินเป็นพลอยในตระกูลแร่
คอรันดัม มีส่วนประกอบหลักเป็น
อะลูมิเนียมออกไซด์ โดย มี Al ร้อยละ52.9
และ O ร้อยละ 47.1 โดยมวล การที่พลอยตระกูลคอรันดัมมีสีแตกต่างกันเนื่องจากมีธาตุอื่นเป็นมลทิน เช่น
- ถ้ามี Cr จะทำให้เนื้อพลอยมีสีชมพูจนถึงสีแดงเข้ม
ซึ่งเรียกว่า “ทับทิม”
-ถ้ามี Fe จะทำให้พลอยมีสีเขียวอ่อน สีเหลือง
หรือสีน้ำตาล
-ถ้ามีทั้ง Fe และ Ti ปนด้วยกัน
จะทำให้พลอยมีสีน้ำเงินอ่อนถึงสีน้ำเงินเข้ม เรียก “ไพลิน”
-ถ้ามีแร่รูไทล์ ปนอยู่
จะทำให้พลอยมีลายเส้นเหลือบๆ หรือ รูปดาว เรียกว่า “พลอยสาแหรกหรือพลอยสตาร์”
การตรวจสอบเพชรและพลอยเพื่อจำแนกชนิดหรือเพื่อพิสูจน์ว่า
เป็นของแท้หรือเทียม จะใช้เครื่องมือและวิธีการเฉพาะ เพื่อตรวจสอบสมบัติที่ปรากฏ
เช่น ความแข็ง ความถ่วงจำเพาะ
รูปลักษณะของผลึกที่เกิดตามธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งเป็นสมบัติเฉพาะของรัตนชาติแต่ละชนิด
แร่รัตนชาติแต่ละชนิดมีความแข็งหรือความทนทานต่อการขูดขีดได้ไม่เท่ากัน
นักธรณีวิทยาชาวเยอรมัน ชื่อ เฟดริก โมส์ ได้จัดระดับความแข็งของแร่ตั้งแต่อ่อนที่สุดจนถึงแข็งที่สุดไว้
10 ระดับ โดยเพชร เป็นแร่ที่มีความแข็งที่สุด และ โดยทั่วไปแร่รัตนชาติจะมีความแข็งสูงกว่า
6
เพชรเป็นอัญมณีที่มีความแข็งที่สุด
ประกอบด้วยผลึกของธาตุคาร์บอน มีโครงสร้างเป็นร่างตาข่าย ไม่นำไฟฟ้า
แต่นำความร้อนได้ดีที่สุด และดีกว่าทองแดง 5 เท่า
จึงถูกนำไปใช้ทำส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบันสามารถสังเคราะห์เพชรได้ โดยอัดแกรไฟต์ภายใต้ความดัน 50,000-100,000 บรรยากาศ ที่อุณหภูมิ 2000 oC โดยมีโครเมียม เหล็ก หรือแพลทินัมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
เพชรที่ได้จะมีความแข็ง ความถ่วงจำเพาะ ค่าดัชนีหักเหแสง
และโครงสร้างผลึกเหมือนกับเพชรธรรมชาติ แต่การผลิตเพชรจะเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก
ส่วน ทับทิม ไพลิน
และบุษราคัม มีระดับความแข็ง ความถ่วงจำเพาะ และค่าดัชนีหักเหแสงเท่ากัน
จึงจัดเป็นแร่ชนิดเดียวกัน
แต่มีสีแตกต่างกันเนื่องจากมีธาตุมลทินในเนื้อพลอยแตกต่างกัน
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยให้มีการเพิ่มคุณภาพของแร่ได้หลายวิธี
เช่นการเจียระไน การเผา การอาบรังสี การย้อมเคลือบสี และการฉายแสงเลเซอร์
วิธีการเหล่านี้ช่วยให้อัญมณีมีความงดงามและมีคุณค่ามากขึ้น
การเจียระไน เป็นเทคนิคที่ทำให้อัญมณีมีความแวววาวเป็นประกายและมีสีสันเด่นชัดขึ้น
โดยใช้เครื่องมือทำให้เป็นเหลี่ยม เพื่อให้แสงหักเหสะท้อนกลับไปมาภายในผลึกและสะท้อนออกด้านหน้า

รูป 1
การเจียระไนเพชรพลอยแบบต่างๆ
การเผาพลอยหรือการหุงพลอย
เป็นเทคนิคที่ช่วยให้พลอยมีสีสันสวยงาม โดยใช้ความร้อนและอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้ธาตุต่างๆ
ในเนื้อพลอยจัดเรียงตัวใหม่
ทำให้พลอยใสขึ้นและมีสีเปลี่ยนไปอย่างถาวรดังแสดงในตารางที่ 1

การเผาพลอย
การเผาพลอยหรือการหุงพลอย
คือ การทำให้พลอยมีสีสันสวยงามยิ่งขึ้น
โดยการนำพลอยมาให้ความร้อนในช่วงอุณหภูมิและภาวะที่เหมาะสม จนธาตุต่างๆในเนื้อพลอยใสขึ้นและมีสีเปลี่ยนไปถาวร เช่น
ชนิดของพลอย
|
สีเดิมตามธรรมชาติ
|
สีที่เปลี่ยนแปลงหลังการให้ความร้อน
|
-ทับทิม
-แซปไฟร์สีน้ำเงิน(ไพลิน)
-แซปไฟร์สีขาว
-เพทาย
-โทแปซ
-ควอตซ์
(แอเมทิสต์)
|
แดงอมม่วง
แดงอมน้ำตาล ชมพูอมม่วง
น้ำเงิน
ขาวใส
ขาวขุ่นน้ำนม หรือขาวอมเหลือง
น้ำตาล
สีชา
ขาวใส
ม่วง
|
แดงสดหรือชมพูสด
น้ำเงินเข้มขึ้นหรือน้ำเงินสว่างขึ้น
น้ำเงิน
เขียว เหลือง หรือเหลืองน้ำทอง
ใสไม่มีสี
เหลืองน้ำทอง น้ำเงิน
น้ำเงิน
(ก่อนเผาจะอาบรังสีนิวตรอนให้ได้สีเหลือง น้ำตาล หรือเขียว)
ใสไม่มีสี
เหลืองน้ำทอง เขียว
|

การย้อมเคลือบสี
คือการเผาพลอยรวมกับสารเคมีบางชนิด ทำให้พลอยมีสีสันสวยงามขึ้น
สารเคมีที่ใช้จะมีส่วนผสมของธาตุมลทินที่ทำให้พลอยชนิดนั้นเกิดสีตามธรรมชาติ แต่จะแตกต่างกับการเผาพลอยตรงที่
สีที่เกิดขึ้นสามารถอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
การอาบรังสี
คือการนำพลอยไปอาบรังสีแกมมาจากโคบอลต์-60 ทำให้สีเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบันมีการนิยมทำเพชรเทียมกันมากขึ้นเนื่องจากเพชรธรรมชาติหายากและมีราคาแพง
โดยเพชรเทียมที่ได้รับความนิยาสูงสุดคือ เพชรรัสเซีย หรือคิวบิกเซอร์โคเนีย
เพชรเทียมมีการกระจายแสงสูงกว่าเพชรธรรมชาติจึงทำให้เป็นประกายแวววาว
และมีความถ่วงจำเพาะสูงกว่าเพชรธรรมชาติมาก
ในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
มีการนำแผ่นฟิล์มเพชรบางๆซึ่งได้จากการทำเพชรสังเคราะห์ โดยการเผาแก๊สมีเทนหรืออะเซติลีนสลายพันธะได้อะตอมของคาร์บอนเกาะติดบนแผ่นฟิล์มซิลิคอน
เป็นแผ่นเพชรช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากวงจรอิเล็กทรอนิกส์

เพชร เป็นรัตนชาติซึ่งมีความแข็งมากที่สุด
เนื่องจากคาร์บอนซึ่งเป็นองค์ประกอบของเพชรยึดเหนี่ยวกับคาร์บอนอะตอมข้างเคียง 4
อะตอม เกิดเป็นทรงสี่หน้า
และเกิดต่อเนื่องกันไปไม่มีที่สิ้นสุดเกิดเป็นโครงผลึกร่างตาข่าย
ทำให้เพชรเป็นสารที่มีความแข็งแรงมากที่สุดในโลก เพชรในธรรมชาติหายากและมีราคาแพง
จึงมีการผลิตเพชรเทียมหรือเพชรรัสเซียซึ่งมีชื่อเคมีว่า “คิวบิกเซอร์โคเนีย”
เพชรรัสเซียมีองค์ประกอบเป็นเซอร์โคเนียมไดออกไซด์ (ZrO2) อิตเทรียมออกไซด์ (Y2O3)
และแคลเซียมออกไซด์ (CaO) เพชรรัสเซียมีการกระจายแสงมากกว่าเพชรแท้
ทำให้เกิดความแวววาวและมีความถ่วงจำเพาะมากกว่าเพชรธรรมชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น