หอยมุกจาน หอยมุกขอบทอง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinctada maxima Jameson, 1901
ชื่อสามัญ : Pearl shell, Pearl oyster
ลักษณะทั่วไป
: เป็นหอยขนาดใหญ่ เปลือกมีลักษณะแบน ด้านหน้าตรง
ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นบานพับ ด้านท้องจะโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม
สีของเปลือกด้านนอกเป็นสีม่วงแก่อมดำ ด้านในเป็นมุกขาวมันวาว
ขนาด : ขนาดใหญ่สุดมีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร
การกินอาหาร : กรองอาหารขนาดเล็ก ได้แก่ แพลงก์ตอนพืชและสัตว์
การผสมพันธุ์ : มีเพศแยก อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้มีสีขาวครีม เพศเมียมีสีเหลืองส้ม มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว
แหล่งที่อยู่อาศัย : ชอบอาศัยอยู่ตามเกาะแก่งที่มีพื้นทะเลเป็นทรายและมีน้ำทะเลใส
การแพร่กระจาย : พบตามเกาะต่างๆ ทั่วไปในอ่าวไทย ได้แก่ เก่าเต่า เกาะคราม เกาะตาหม้อ เกาะจาน แสมสาร จังหวัดชลบุรี และพบทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
ประโยชน์ : นิยมนำส่วนเปลือกไปทำเครื่องประดับและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน ส่วนเนื้อนำไปประกอบอาหาร ได้แก่ ยำ พล่า ต้มจืด และผัดเผ็ด
การลี้ยง :
นิยมเก็บหอยจากแหล่งธรรมชาติไปทำการเลี้ยงเพื่อผลิตหอยมุกชนิดเม็ด
เพื่อทำเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากเป็นมุกที่มีคุณภาพดีที่สุด
แหล่งที่นิยมเลี้ยงและผลิตมุกกันมากพบที่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
และที่เกาะนาคา จังหวัดภูเก็ด หอยชนิดนี้กรมประมงได้ทำการทดลองเพาะเลี้ยง
และประสบผลสำเร็จในช่วงปี 2527-2534
ติ
ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์
การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ
ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล
(ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง
เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นใ
หอยมุกจาน หอยมุกขอบทอง
ให้เรตสมาชิก
หมวด: หอย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinctada maxima Jameson, 1901
ชื่อสามัญ : Pearl shell, Pearl oyster
ลักษณะทั่วไป
: เป็นหอยขนาดใหญ่ เปลือกมีลักษณะแบน ด้านหน้าตรง
ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นบานพับ ด้านท้องจะโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม
สีของเปลือกด้านนอกเป็นสีม่วงแก่อมดำ ด้านในเป็นมุกขาวมันวาว
ขนาด : ขนาดใหญ่สุดมีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร
การกินอาหาร : กรองอาหารขนาดเล็ก ได้แก่ แพลงก์ตอนพืชและสัตว์
การผสมพันธุ์ : มีเพศแยก อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้มีสีขาวครีม เพศเมียมีสีเหลืองส้ม มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว
แหล่งที่อยู่อาศัย : ชอบอาศัยอยู่ตามเกาะแก่งที่มีพื้นทะเลเป็นทรายและมีน้ำทะเลใส
การแพร่กระจาย : พบตามเกาะต่างๆ ทั่วไปในอ่าวไทย ได้แก่ เก่าเต่า เกาะคราม เกาะตาหม้อ เกาะจาน แสมสาร จังหวัดชลบุรี และพบทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
ประโยชน์ : นิยมนำส่วนเปลือกไปทำเครื่องประดับและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน ส่วนเนื้อนำไปประกอบอาหาร ได้แก่ ยำ พล่า ต้มจืด และผัดเผ็ด
การลี้ยง :
นิยมเก็บหอยจากแหล่งธรรมชาติไปทำการเลี้ยงเพื่อผลิตหอยมุกชนิดเม็ด
เพื่อทำเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากเป็นมุกที่มีคุณภาพดีที่สุด
แหล่งที่นิยมเลี้ยงและผลิตมุกกันมากพบที่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
และที่เกาะนาคา จังหวัดภูเก็ด หอยชนิดนี้กรมประมงได้ทำการทดลองเพาะเลี้ยง
และประสบผลสำเร็จในช่วงปี 2527-2534
หอยมุกจาน หอยมุกขอบทอง
ให้เรตสมาชิก
หมวด: หอย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinctada maxima Jameson, 1901
ชื่อสามัญ : Pearl shell, Pearl oyster
ลักษณะทั่วไป
: เป็นหอยขนาดใหญ่ เปลือกมีลักษณะแบน ด้านหน้าตรง
ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นบานพับ ด้านท้องจะโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม
สีของเปลือกด้านนอกเป็นสีม่วงแก่อมดำ ด้านในเป็นมุกขาวมันวาว
ขนาด : ขนาดใหญ่สุดมีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร
การกินอาหาร : กรองอาหารขนาดเล็ก ได้แก่ แพลงก์ตอนพืชและสัตว์
การผสมพันธุ์ : มีเพศแยก อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้มีสีขาวครีม เพศเมียมีสีเหลืองส้ม มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว
แหล่งที่อยู่อาศัย : ชอบอาศัยอยู่ตามเกาะแก่งที่มีพื้นทะเลเป็นทรายและมีน้ำทะเลใส
การแพร่กระจาย : พบตามเกาะต่างๆ ทั่วไปในอ่าวไทย ได้แก่ เก่าเต่า เกาะคราม เกาะตาหม้อ เกาะจาน แสมสาร จังหวัดชลบุรี และพบทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
ประโยชน์ : นิยมนำส่วนเปลือกไปทำเครื่องประดับและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน ส่วนเนื้อนำไปประกอบอาหาร ได้แก่ ยำ พล่า ต้มจืด และผัดเผ็ด
การลี้ยง :
นิยมเก็บหอยจากแหล่งธรรมชาติไปทำการเลี้ยงเพื่อผลิตหอยมุกชนิดเม็ด
เพื่อทำเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากเป็นมุกที่มีคุณภาพดีที่สุด
แหล่งที่นิยมเลี้ยงและผลิตมุกกันมากพบที่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
และที่เกาะนาคา จังหวัดภูเก็ด หอยชนิดนี้กรมประมงได้ทำการทดลองเพาะเลี้ยง
และประสบผลสำเร็จในช่วงปี 2527-2534
หอยมุก (Pearl Oyster) ช่างทำอัญมณีแห่งธรรมชาติ

แทบ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะพบไข่มุกในจานหอยนางรมตามภัตตาคาร ถึงแม้ชื่อในภาษาอังกฤษจะฟังดูน่าสับสน (มีคำว่า oyster เหมือนกัน) แต่หอยนางรมที่เรากินกันนั้นใกล้ชิดกับหอยมุกพอๆ กับที่มนุษย์ใกล้ชิดกับลิงมาร์โมเสด ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นหอยสองฝาที่เกาะอยู่ตามโขดหินในทะเลน้ำตื้นและกรอง สาหร่ายทะเลจากกระแสน้ำ แต่จริงๆ แล้วพวกมันอยู่ในลำดับทางชีววิทยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีเพียงหนึ่งเดียวที่ผลิตไข่มุกที่มีขนาดและคุณค่าในเชิงพาณิชย์ได้ หอยมุกเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหอยเชลล์ พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและสามารถเติบโตจนมีขนาดเท่ากับจานข้าวได้เลย ทีเดียว

ความ เข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับไข่มุกที่แพร่สะพัดออกไปคือ ไข่มุกก่อตัวขึ้นมาจากเม็ดทรายหรือก้อนกรวดที่เข้าไปติดอยู่ในเปลือกหอย ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ไข่มุกคงจะมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น ไม่ใช่ของหายากมากด้วยมูลค่าอย่างในปัจจุบัน โลกของหอยมุกเต็มไปด้วยก้อนกรวดมากมาย เพราะมันอาศัยอยู่ในจักรวาลที่เป็นผืนทรายและใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการคอย ดูดและเป่าทรายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในความเป็นจริงแล้ว ไข่มุกเกิดจากการกระตุ้นโดยสิ่งแปลกปลอมที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยอาจจะเป็นเศษสิ่งผุพังขนาดเล็ก (เช่น เศษกระดูก เศษเปลือกหอย หรือเศษปะการัง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นผู้บุกรุกที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเสียมากกว่า หอยมุกมักถูกก่อกวนด้วยปรสิตหลายชนิด ซึ่งรวมถึงตัวหนอนพยาธิ ฟองน้ำและหอยแมลงภู่ที่เจาะทะลุเปลือกเข้าไป ผู้บุกรุกเหล่านี้คือตัวการสำคัญในการสร้างความระคายเคืองที่กระตุ้นให้หอย มุกสร้างไข่มุกขึ้นมา”

เมื่อ ถูกบุกรุก หอยมุกจะตอบสนองโดยการขังเดี่ยวปรสิตไว้ภายใน “ถุงไข่มุก” สิ่งที่อยู่ภายในเปลือกทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอวัยวะที่เรียกว่าแมนเทิล ซึ่งจะหลั่งสารอินทรีย์ที่เรียกว่าเนเคอร์ (nacre) มันเป็นสารวิเศษที่มีความแข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่นและเป็นมันเงา เนเคอร์เป็นส่วนผสมระหว่างผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารคัดหลั่งอินทรีย์ คล้ายเคราติน มันจะเคลือบฝังศัตรูแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาทั้งหมด และผลที่ได้ก็คือไข่มุกหนึ่งเม็ดนั่นเอง หอยมุกสามารถเคลือบได้วันละสี่ชั้น แต่ในการสร้างชั้นของเนเคอร์หนา 1.27 มิลลิเมตร ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี และการสร้างไข่มุกที่สมบูรณ์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ถึง 20 ปี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหอยมุกหนึ่งตันจึงให้ผลผลิตเป็นไข่มุกได้เพียงสามเม็ด เท่านั้น และตามความเป็นจริงแล้ว มีโอกาสแค่หนึ่งในล้านที่ไข่มุกจะมีทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้หอยมุกหนึ่งตัวอาจให้ไข่มุกได้หลายรอบเพราะพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ ในธรรมชาติได้นานถึง 80 ปี
ความหายากและความสวยงามของไข่มุกทำให้ เกิดทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมัน บ้างว่าไข่มุกเกิดจากหยดน้ำค้างที่ตกลงไปในตัวหอยขณะที่มันอาบแสงแดดตอนรุ่ง เช้า หรือเป็นน้ำตาของนางฟ้าที่กลายเป็นผลึก หรือเกิดจากสายฟ้าฟาดใส่หอย แนวคิดเรื่อง “เม็ดทราย” ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในศตวรรษที่ 19 เสนอว่า มันคือไข่ของหอยที่ตายแล้ว จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 นักวิจัยจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศสค้นพบทฤษฎีถุงไข่มุก และนำไปสู่การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นครั้งแรก

ไข่มุก สมัยใหม่เกือบทั้งหมดเป็นไข่มุกที่มาจากฟาร์ม ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์ การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล (ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นให้ผลิตถุงไข่มุก แล้วฉาบลูกปัดจากเปลือกหอยแมลงภู่ด้วยสารเนเคอร์ สองปีต่อมาคุณจะได้สิ่งที่ไม่ต่างไปจากไข่มุกตามธรรมชาติเลย ขอแค่อย่าขูดมันแรงๆ จนเกินไปเท่านั้นพอ
หอยมุก (Pearl Oyster) ช่างทำอัญมณีแห่งธรรมชาติ

แทบ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะพบไข่มุกในจานหอยนางรมตามภัตตาคาร ถึงแม้ชื่อในภาษาอังกฤษจะฟังดูน่าสับสน (มีคำว่า oyster เหมือนกัน) แต่หอยนางรมที่เรากินกันนั้นใกล้ชิดกับหอยมุกพอๆ กับที่มนุษย์ใกล้ชิดกับลิงมาร์โมเสด ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นหอยสองฝาที่เกาะอยู่ตามโขดหินในทะเลน้ำตื้นและกรอง สาหร่ายทะเลจากกระแสน้ำ แต่จริงๆ แล้วพวกมันอยู่ในลำดับทางชีววิทยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีเพียงหนึ่งเดียวที่ผลิตไข่มุกที่มีขนาดและคุณค่าในเชิงพาณิชย์ได้ หอยมุกเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหอยเชลล์ พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและสามารถเติบโตจนมีขนาดเท่ากับจานข้าวได้เลย ทีเดียว

ความ เข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับไข่มุกที่แพร่สะพัดออกไปคือ ไข่มุกก่อตัวขึ้นมาจากเม็ดทรายหรือก้อนกรวดที่เข้าไปติดอยู่ในเปลือกหอย ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ไข่มุกคงจะมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น ไม่ใช่ของหายากมากด้วยมูลค่าอย่างในปัจจุบัน โลกของหอยมุกเต็มไปด้วยก้อนกรวดมากมาย เพราะมันอาศัยอยู่ในจักรวาลที่เป็นผืนทรายและใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการคอย ดูดและเป่าทรายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในความเป็นจริงแล้ว ไข่มุกเกิดจากการกระตุ้นโดยสิ่งแปลกปลอมที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยอาจจะเป็นเศษสิ่งผุพังขนาดเล็ก (เช่น เศษกระดูก เศษเปลือกหอย หรือเศษปะการัง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นผู้บุกรุกที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเสียมากกว่า หอยมุกมักถูกก่อกวนด้วยปรสิตหลายชนิด ซึ่งรวมถึงตัวหนอนพยาธิ ฟองน้ำและหอยแมลงภู่ที่เจาะทะลุเปลือกเข้าไป ผู้บุกรุกเหล่านี้คือตัวการสำคัญในการสร้างความระคายเคืองที่กระตุ้นให้หอย มุกสร้างไข่มุกขึ้นมา”

เมื่อ ถูกบุกรุก หอยมุกจะตอบสนองโดยการขังเดี่ยวปรสิตไว้ภายใน “ถุงไข่มุก” สิ่งที่อยู่ภายในเปลือกทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอวัยวะที่เรียกว่าแมนเทิล ซึ่งจะหลั่งสารอินทรีย์ที่เรียกว่าเนเคอร์ (nacre) มันเป็นสารวิเศษที่มีความแข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่นและเป็นมันเงา เนเคอร์เป็นส่วนผสมระหว่างผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารคัดหลั่งอินทรีย์ คล้ายเคราติน มันจะเคลือบฝังศัตรูแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาทั้งหมด และผลที่ได้ก็คือไข่มุกหนึ่งเม็ดนั่นเอง หอยมุกสามารถเคลือบได้วันละสี่ชั้น แต่ในการสร้างชั้นของเนเคอร์หนา 1.27 มิลลิเมตร ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี และการสร้างไข่มุกที่สมบูรณ์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ถึง 20 ปี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหอยมุกหนึ่งตันจึงให้ผลผลิตเป็นไข่มุกได้เพียงสามเม็ด เท่านั้น และตามความเป็นจริงแล้ว มีโอกาสแค่หนึ่งในล้านที่ไข่มุกจะมีทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้หอยมุกหนึ่งตัวอาจให้ไข่มุกได้หลายรอบเพราะพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ ในธรรมชาติได้นานถึง 80 ปี
ความหายากและความสวยงามของไข่มุกทำให้ เกิดทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมัน บ้างว่าไข่มุกเกิดจากหยดน้ำค้างที่ตกลงไปในตัวหอยขณะที่มันอาบแสงแดดตอนรุ่ง เช้า หรือเป็นน้ำตาของนางฟ้าที่กลายเป็นผลึก หรือเกิดจากสายฟ้าฟาดใส่หอย แนวคิดเรื่อง “เม็ดทราย” ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในศตวรรษที่ 19 เสนอว่า มันคือไข่ของหอยที่ตายแล้ว จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 นักวิจัยจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศสค้นพบทฤษฎีถุงไข่มุก และนำไปสู่การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นครั้งแรก

ไข่มุก สมัยใหม่เกือบทั้งหมดเป็นไข่มุกที่มาจากฟาร์ม ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์ การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล (ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นให้ผลิตถุงไข่มุก แล้วฉาบลูกปัดจากเปลือกหอยแมลงภู่ด้วยสารเนเคอร์ สองปีต่อมาคุณจะได้สิ่งที่ไม่ต่างไปจากไข่มุกตามธรรมชาติเลย ขอแค่อย่าขูดมันแรงๆ จนเกินไปเท่านั้นพอ
หอยมุก (Pearl Oyster) ช่างทำอัญมณีแห่งธรรมชาติ

แทบ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะพบไข่มุกในจานหอยนางรมตามภัตตาคาร ถึงแม้ชื่อในภาษาอังกฤษจะฟังดูน่าสับสน (มีคำว่า oyster เหมือนกัน) แต่หอยนางรมที่เรากินกันนั้นใกล้ชิดกับหอยมุกพอๆ กับที่มนุษย์ใกล้ชิดกับลิงมาร์โมเสด ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นหอยสองฝาที่เกาะอยู่ตามโขดหินในทะเลน้ำตื้นและกรอง สาหร่ายทะเลจากกระแสน้ำ แต่จริงๆ แล้วพวกมันอยู่ในลำดับทางชีววิทยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีเพียงหนึ่งเดียวที่ผลิตไข่มุกที่มีขนาดและคุณค่าในเชิงพาณิชย์ได้ หอยมุกเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหอยเชลล์ พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและสามารถเติบโตจนมีขนาดเท่ากับจานข้าวได้เลย ทีเดียว

ความ เข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับไข่มุกที่แพร่สะพัดออกไปคือ ไข่มุกก่อตัวขึ้นมาจากเม็ดทรายหรือก้อนกรวดที่เข้าไปติดอยู่ในเปลือกหอย ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ไข่มุกคงจะมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น ไม่ใช่ของหายากมากด้วยมูลค่าอย่างในปัจจุบัน โลกของหอยมุกเต็มไปด้วยก้อนกรวดมากมาย เพราะมันอาศัยอยู่ในจักรวาลที่เป็นผืนทรายและใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการคอย ดูดและเป่าทรายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในความเป็นจริงแล้ว ไข่มุกเกิดจากการกระตุ้นโดยสิ่งแปลกปลอมที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยอาจจะเป็นเศษสิ่งผุพังขนาดเล็ก (เช่น เศษกระดูก เศษเปลือกหอย หรือเศษปะการัง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นผู้บุกรุกที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเสียมากกว่า หอยมุกมักถูกก่อกวนด้วยปรสิตหลายชนิด ซึ่งรวมถึงตัวหนอนพยาธิ ฟองน้ำและหอยแมลงภู่ที่เจาะทะลุเปลือกเข้าไป ผู้บุกรุกเหล่านี้คือตัวการสำคัญในการสร้างความระคายเคืองที่กระตุ้นให้หอย มุกสร้างไข่มุกขึ้นมา”

เมื่อ ถูกบุกรุก หอยมุกจะตอบสนองโดยการขังเดี่ยวปรสิตไว้ภายใน “ถุงไข่มุก” สิ่งที่อยู่ภายในเปลือกทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอวัยวะที่เรียกว่าแมนเทิล ซึ่งจะหลั่งสารอินทรีย์ที่เรียกว่าเนเคอร์ (nacre) มันเป็นสารวิเศษที่มีความแข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่นและเป็นมันเงา เนเคอร์เป็นส่วนผสมระหว่างผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารคัดหลั่งอินทรีย์ คล้ายเคราติน มันจะเคลือบฝังศัตรูแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาทั้งหมด และผลที่ได้ก็คือไข่มุกหนึ่งเม็ดนั่นเอง หอยมุกสามารถเคลือบได้วันละสี่ชั้น แต่ในการสร้างชั้นของเนเคอร์หนา 1.27 มิลลิเมตร ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี และการสร้างไข่มุกที่สมบูรณ์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ถึง 20 ปี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหอยมุกหนึ่งตันจึงให้ผลผลิตเป็นไข่มุกได้เพียงสามเม็ด เท่านั้น และตามความเป็นจริงแล้ว มีโอกาสแค่หนึ่งในล้านที่ไข่มุกจะมีทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้หอยมุกหนึ่งตัวอาจให้ไข่มุกได้หลายรอบเพราะพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ ในธรรมชาติได้นานถึง 80 ปี
ความหายากและความสวยงามของไข่มุกทำให้ เกิดทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมัน บ้างว่าไข่มุกเกิดจากหยดน้ำค้างที่ตกลงไปในตัวหอยขณะที่มันอาบแสงแดดตอนรุ่ง เช้า หรือเป็นน้ำตาของนางฟ้าที่กลายเป็นผลึก หรือเกิดจากสายฟ้าฟาดใส่หอย แนวคิดเรื่อง “เม็ดทราย” ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในศตวรรษที่ 19 เสนอว่า มันคือไข่ของหอยที่ตายแล้ว จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 นักวิจัยจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศสค้นพบทฤษฎีถุงไข่มุก และนำไปสู่การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นครั้งแรก

ไข่มุก สมัยใหม่เกือบทั้งหมดเป็นไข่มุกที่มาจากฟาร์ม ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์ การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล (ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นให้ผลิตถุงไข่มุก แล้วฉาบลูกปัดจากเปลือกหอยแมลงภู่ด้วยสารเนเคอร์ สองปีต่อมาคุณจะได้สิ่งที่ไม่ต่างไปจากไข่มุกตามธรรมชาติเลย ขอแค่อย่าขูดมันแรงๆ จนเกินไปเท่านั้นพอ