วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หอยมุกจาน หอยมุกขอบทอง





ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Pinctada maxima Jameson, 1901

ชื่อสามัญ  : Pearl shell, Pearl oyster

ลักษณะทั่วไป  : เป็นหอยขนาดใหญ่ เปลือกมีลักษณะแบน ด้านหน้าตรง ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นบานพับ ด้านท้องจะโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม สีของเปลือกด้านนอกเป็นสีม่วงแก่อมดำ ด้านในเป็นมุกขาวมันวาว

ขนาด  : ขนาดใหญ่สุดมีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร

การกินอาหาร  : กรองอาหารขนาดเล็ก ได้แก่ แพลงก์ตอนพืชและสัตว์

การผสมพันธุ์  : มีเพศแยก อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้มีสีขาวครีม เพศเมียมีสีเหลืองส้ม มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว
แหล่งที่อยู่อาศัย  : ชอบอาศัยอยู่ตามเกาะแก่งที่มีพื้นทะเลเป็นทรายและมีน้ำทะเลใส

การแพร่กระจาย  : พบตามเกาะต่างๆ ทั่วไปในอ่าวไทย ได้แก่ เก่าเต่า เกาะคราม เกาะตาหม้อ เกาะจาน แสมสาร จังหวัดชลบุรี และพบทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย

ประโยชน์  : นิยมนำส่วนเปลือกไปทำเครื่องประดับและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน ส่วนเนื้อนำไปประกอบอาหาร ได้แก่ ยำ พล่า ต้มจืด และผัดเผ็ด

การลี้ยง  : นิยมเก็บหอยจากแหล่งธรรมชาติไปทำการเลี้ยงเพื่อผลิตหอยมุกชนิดเม็ด เพื่อทำเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากเป็นมุกที่มีคุณภาพดีที่สุด  แหล่งที่นิยมเลี้ยงและผลิตมุกกันมากพบที่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และที่เกาะนาคา จังหวัดภูเก็ด หอยชนิดนี้กรมประมงได้ทำการทดลองเพาะเลี้ยง และประสบผลสำเร็จในช่วงปี 2527-2534
ติ ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์ การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล (ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นใ

หอยมุกจาน หอยมุกขอบทอง

ให้เรตสมาชิก
ไม่ดีดี 
หมวด: หอย


ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Pinctada maxima Jameson, 1901

ชื่อสามัญ  : Pearl shell, Pearl oyster

ลักษณะทั่วไป  : เป็นหอยขนาดใหญ่ เปลือกมีลักษณะแบน ด้านหน้าตรง ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นบานพับ ด้านท้องจะโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม สีของเปลือกด้านนอกเป็นสีม่วงแก่อมดำ ด้านในเป็นมุกขาวมันวาว

ขนาด  : ขนาดใหญ่สุดมีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร

การกินอาหาร  : กรองอาหารขนาดเล็ก ได้แก่ แพลงก์ตอนพืชและสัตว์

การผสมพันธุ์  : มีเพศแยก อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้มีสีขาวครีม เพศเมียมีสีเหลืองส้ม มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว
แหล่งที่อยู่อาศัย  : ชอบอาศัยอยู่ตามเกาะแก่งที่มีพื้นทะเลเป็นทรายและมีน้ำทะเลใส

การแพร่กระจาย  : พบตามเกาะต่างๆ ทั่วไปในอ่าวไทย ได้แก่ เก่าเต่า เกาะคราม เกาะตาหม้อ เกาะจาน แสมสาร จังหวัดชลบุรี และพบทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย

ประโยชน์  : นิยมนำส่วนเปลือกไปทำเครื่องประดับและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน ส่วนเนื้อนำไปประกอบอาหาร ได้แก่ ยำ พล่า ต้มจืด และผัดเผ็ด

การลี้ยง  : นิยมเก็บหอยจากแหล่งธรรมชาติไปทำการเลี้ยงเพื่อผลิตหอยมุกชนิดเม็ด เพื่อทำเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากเป็นมุกที่มีคุณภาพดีที่สุด  แหล่งที่นิยมเลี้ยงและผลิตมุกกันมากพบที่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และที่เกาะนาคา จังหวัดภูเก็ด หอยชนิดนี้กรมประมงได้ทำการทดลองเพาะเลี้ยง และประสบผลสำเร็จในช่วงปี 2527-2534

หอยมุกจาน หอยมุกขอบทอง

ให้เรตสมาชิก
ไม่ดีดี 
หมวด: หอย


ชื่อวิทยาศาสตร์  :  Pinctada maxima Jameson, 1901

ชื่อสามัญ  : Pearl shell, Pearl oyster

ลักษณะทั่วไป  : เป็นหอยขนาดใหญ่ เปลือกมีลักษณะแบน ด้านหน้าตรง ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นบานพับ ด้านท้องจะโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม สีของเปลือกด้านนอกเป็นสีม่วงแก่อมดำ ด้านในเป็นมุกขาวมันวาว

ขนาด  : ขนาดใหญ่สุดมีความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร

การกินอาหาร  : กรองอาหารขนาดเล็ก ได้แก่ แพลงก์ตอนพืชและสัตว์

การผสมพันธุ์  : มีเพศแยก อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้มีสีขาวครีม เพศเมียมีสีเหลืองส้ม มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว
แหล่งที่อยู่อาศัย  : ชอบอาศัยอยู่ตามเกาะแก่งที่มีพื้นทะเลเป็นทรายและมีน้ำทะเลใส

การแพร่กระจาย  : พบตามเกาะต่างๆ ทั่วไปในอ่าวไทย ได้แก่ เก่าเต่า เกาะคราม เกาะตาหม้อ เกาะจาน แสมสาร จังหวัดชลบุรี และพบทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย

ประโยชน์  : นิยมนำส่วนเปลือกไปทำเครื่องประดับและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน ส่วนเนื้อนำไปประกอบอาหาร ได้แก่ ยำ พล่า ต้มจืด และผัดเผ็ด

การลี้ยง  : นิยมเก็บหอยจากแหล่งธรรมชาติไปทำการเลี้ยงเพื่อผลิตหอยมุกชนิดเม็ด เพื่อทำเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากเป็นมุกที่มีคุณภาพดีที่สุด  แหล่งที่นิยมเลี้ยงและผลิตมุกกันมากพบที่ เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และที่เกาะนาคา จังหวัดภูเก็ด หอยชนิดนี้กรมประมงได้ทำการทดลองเพาะเลี้ยง และประสบผลสำเร็จในช่วงปี 2527-2534

หอยมุก (Pearl Oyster) ช่างทำอัญมณีแห่งธรรมชาติ

By  | February 25, 2012 | 0 Comments | Filed under: Documentary, Thai

แทบ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะพบไข่มุกในจานหอยนางรมตามภัตตาคาร ถึงแม้ชื่อในภาษาอังกฤษจะฟังดูน่าสับสน (มีคำว่า oyster เหมือนกัน) แต่หอยนางรมที่เรากินกันนั้นใกล้ชิดกับหอยมุกพอๆ กับที่มนุษย์ใกล้ชิดกับลิงมาร์โมเสด ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นหอยสองฝาที่เกาะอยู่ตามโขดหินในทะเลน้ำตื้นและกรอง สาหร่ายทะเลจากกระแสน้ำ แต่จริงๆ แล้วพวกมันอยู่ในลำดับทางชีววิทยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีเพียงหนึ่งเดียวที่ผลิตไข่มุกที่มีขนาดและคุณค่าในเชิงพาณิชย์ได้ หอยมุกเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหอยเชลล์ พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและสามารถเติบโตจนมีขนาดเท่ากับจานข้าวได้เลย ทีเดียว

ความ เข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับไข่มุกที่แพร่สะพัดออกไปคือ ไข่มุกก่อตัวขึ้นมาจากเม็ดทรายหรือก้อนกรวดที่เข้าไปติดอยู่ในเปลือกหอย ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ไข่มุกคงจะมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น ไม่ใช่ของหายากมากด้วยมูลค่าอย่างในปัจจุบัน โลกของหอยมุกเต็มไปด้วยก้อนกรวดมากมาย เพราะมันอาศัยอยู่ในจักรวาลที่เป็นผืนทรายและใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการคอย ดูดและเป่าทรายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในความเป็นจริงแล้ว ไข่มุกเกิดจากการกระตุ้นโดยสิ่งแปลกปลอมที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยอาจจะเป็นเศษสิ่งผุพังขนาดเล็ก (เช่น เศษกระดูก เศษเปลือกหอย หรือเศษปะการัง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นผู้บุกรุกที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเสียมากกว่า หอยมุกมักถูกก่อกวนด้วยปรสิตหลายชนิด ซึ่งรวมถึงตัวหนอนพยาธิ ฟองน้ำและหอยแมลงภู่ที่เจาะทะลุเปลือกเข้าไป ผู้บุกรุกเหล่านี้คือตัวการสำคัญในการสร้างความระคายเคืองที่กระตุ้นให้หอย มุกสร้างไข่มุกขึ้นมา”

เมื่อ ถูกบุกรุก หอยมุกจะตอบสนองโดยการขังเดี่ยวปรสิตไว้ภายใน “ถุงไข่มุก” สิ่งที่อยู่ภายในเปลือกทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอวัยวะที่เรียกว่าแมนเทิล ซึ่งจะหลั่งสารอินทรีย์ที่เรียกว่าเนเคอร์ (nacre) มันเป็นสารวิเศษที่มีความแข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่นและเป็นมันเงา เนเคอร์เป็นส่วนผสมระหว่างผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารคัดหลั่งอินทรีย์ คล้ายเคราติน มันจะเคลือบฝังศัตรูแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาทั้งหมด และผลที่ได้ก็คือไข่มุกหนึ่งเม็ดนั่นเอง หอยมุกสามารถเคลือบได้วันละสี่ชั้น แต่ในการสร้างชั้นของเนเคอร์หนา 1.27 มิลลิเมตร ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี และการสร้างไข่มุกที่สมบูรณ์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ถึง 20 ปี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหอยมุกหนึ่งตันจึงให้ผลผลิตเป็นไข่มุกได้เพียงสามเม็ด เท่านั้น และตามความเป็นจริงแล้ว มีโอกาสแค่หนึ่งในล้านที่ไข่มุกจะมีทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้หอยมุกหนึ่งตัวอาจให้ไข่มุกได้หลายรอบเพราะพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ ในธรรมชาติได้นานถึง 80 ปี
ความหายากและความสวยงามของไข่มุกทำให้ เกิดทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมัน บ้างว่าไข่มุกเกิดจากหยดน้ำค้างที่ตกลงไปในตัวหอยขณะที่มันอาบแสงแดดตอนรุ่ง เช้า หรือเป็นน้ำตาของนางฟ้าที่กลายเป็นผลึก หรือเกิดจากสายฟ้าฟาดใส่หอย แนวคิดเรื่อง “เม็ดทราย” ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในศตวรรษที่ 19 เสนอว่า มันคือไข่ของหอยที่ตายแล้ว จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 นักวิจัยจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศสค้นพบทฤษฎีถุงไข่มุก และนำไปสู่การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นครั้งแรก

ไข่มุก สมัยใหม่เกือบทั้งหมดเป็นไข่มุกที่มาจากฟาร์ม ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์ การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล (ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นให้ผลิตถุงไข่มุก แล้วฉาบลูกปัดจากเปลือกหอยแมลงภู่ด้วยสารเนเคอร์ สองปีต่อมาคุณจะได้สิ่งที่ไม่ต่างไปจากไข่มุกตามธรรมชาติเลย ขอแค่อย่าขูดมันแรงๆ จนเกินไปเท่านั้นพอ

หอยมุก (Pearl Oyster) ช่างทำอัญมณีแห่งธรรมชาติ

By  | February 25, 2012 | 0 Comments | Filed under: Documentary, Thai

แทบ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะพบไข่มุกในจานหอยนางรมตามภัตตาคาร ถึงแม้ชื่อในภาษาอังกฤษจะฟังดูน่าสับสน (มีคำว่า oyster เหมือนกัน) แต่หอยนางรมที่เรากินกันนั้นใกล้ชิดกับหอยมุกพอๆ กับที่มนุษย์ใกล้ชิดกับลิงมาร์โมเสด ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นหอยสองฝาที่เกาะอยู่ตามโขดหินในทะเลน้ำตื้นและกรอง สาหร่ายทะเลจากกระแสน้ำ แต่จริงๆ แล้วพวกมันอยู่ในลำดับทางชีววิทยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีเพียงหนึ่งเดียวที่ผลิตไข่มุกที่มีขนาดและคุณค่าในเชิงพาณิชย์ได้ หอยมุกเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหอยเชลล์ พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและสามารถเติบโตจนมีขนาดเท่ากับจานข้าวได้เลย ทีเดียว

ความ เข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับไข่มุกที่แพร่สะพัดออกไปคือ ไข่มุกก่อตัวขึ้นมาจากเม็ดทรายหรือก้อนกรวดที่เข้าไปติดอยู่ในเปลือกหอย ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ไข่มุกคงจะมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น ไม่ใช่ของหายากมากด้วยมูลค่าอย่างในปัจจุบัน โลกของหอยมุกเต็มไปด้วยก้อนกรวดมากมาย เพราะมันอาศัยอยู่ในจักรวาลที่เป็นผืนทรายและใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการคอย ดูดและเป่าทรายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในความเป็นจริงแล้ว ไข่มุกเกิดจากการกระตุ้นโดยสิ่งแปลกปลอมที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยอาจจะเป็นเศษสิ่งผุพังขนาดเล็ก (เช่น เศษกระดูก เศษเปลือกหอย หรือเศษปะการัง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นผู้บุกรุกที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเสียมากกว่า หอยมุกมักถูกก่อกวนด้วยปรสิตหลายชนิด ซึ่งรวมถึงตัวหนอนพยาธิ ฟองน้ำและหอยแมลงภู่ที่เจาะทะลุเปลือกเข้าไป ผู้บุกรุกเหล่านี้คือตัวการสำคัญในการสร้างความระคายเคืองที่กระตุ้นให้หอย มุกสร้างไข่มุกขึ้นมา”

เมื่อ ถูกบุกรุก หอยมุกจะตอบสนองโดยการขังเดี่ยวปรสิตไว้ภายใน “ถุงไข่มุก” สิ่งที่อยู่ภายในเปลือกทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอวัยวะที่เรียกว่าแมนเทิล ซึ่งจะหลั่งสารอินทรีย์ที่เรียกว่าเนเคอร์ (nacre) มันเป็นสารวิเศษที่มีความแข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่นและเป็นมันเงา เนเคอร์เป็นส่วนผสมระหว่างผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารคัดหลั่งอินทรีย์ คล้ายเคราติน มันจะเคลือบฝังศัตรูแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาทั้งหมด และผลที่ได้ก็คือไข่มุกหนึ่งเม็ดนั่นเอง หอยมุกสามารถเคลือบได้วันละสี่ชั้น แต่ในการสร้างชั้นของเนเคอร์หนา 1.27 มิลลิเมตร ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี และการสร้างไข่มุกที่สมบูรณ์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ถึง 20 ปี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหอยมุกหนึ่งตันจึงให้ผลผลิตเป็นไข่มุกได้เพียงสามเม็ด เท่านั้น และตามความเป็นจริงแล้ว มีโอกาสแค่หนึ่งในล้านที่ไข่มุกจะมีทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้หอยมุกหนึ่งตัวอาจให้ไข่มุกได้หลายรอบเพราะพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ ในธรรมชาติได้นานถึง 80 ปี
ความหายากและความสวยงามของไข่มุกทำให้ เกิดทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมัน บ้างว่าไข่มุกเกิดจากหยดน้ำค้างที่ตกลงไปในตัวหอยขณะที่มันอาบแสงแดดตอนรุ่ง เช้า หรือเป็นน้ำตาของนางฟ้าที่กลายเป็นผลึก หรือเกิดจากสายฟ้าฟาดใส่หอย แนวคิดเรื่อง “เม็ดทราย” ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในศตวรรษที่ 19 เสนอว่า มันคือไข่ของหอยที่ตายแล้ว จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 นักวิจัยจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศสค้นพบทฤษฎีถุงไข่มุก และนำไปสู่การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นครั้งแรก

ไข่มุก สมัยใหม่เกือบทั้งหมดเป็นไข่มุกที่มาจากฟาร์ม ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์ การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล (ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นให้ผลิตถุงไข่มุก แล้วฉาบลูกปัดจากเปลือกหอยแมลงภู่ด้วยสารเนเคอร์ สองปีต่อมาคุณจะได้สิ่งที่ไม่ต่างไปจากไข่มุกตามธรรมชาติเลย ขอแค่อย่าขูดมันแรงๆ จนเกินไปเท่านั้นพอ

หอยมุก (Pearl Oyster) ช่างทำอัญมณีแห่งธรรมชาติ

By  | February 25, 2012 | 0 Comments | Filed under: Documentary, Thai

แทบ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะพบไข่มุกในจานหอยนางรมตามภัตตาคาร ถึงแม้ชื่อในภาษาอังกฤษจะฟังดูน่าสับสน (มีคำว่า oyster เหมือนกัน) แต่หอยนางรมที่เรากินกันนั้นใกล้ชิดกับหอยมุกพอๆ กับที่มนุษย์ใกล้ชิดกับลิงมาร์โมเสด ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นหอยสองฝาที่เกาะอยู่ตามโขดหินในทะเลน้ำตื้นและกรอง สาหร่ายทะเลจากกระแสน้ำ แต่จริงๆ แล้วพวกมันอยู่ในลำดับทางชีววิทยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีเพียงหนึ่งเดียวที่ผลิตไข่มุกที่มีขนาดและคุณค่าในเชิงพาณิชย์ได้ หอยมุกเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหอยเชลล์ พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและสามารถเติบโตจนมีขนาดเท่ากับจานข้าวได้เลย ทีเดียว

ความ เข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับไข่มุกที่แพร่สะพัดออกไปคือ ไข่มุกก่อตัวขึ้นมาจากเม็ดทรายหรือก้อนกรวดที่เข้าไปติดอยู่ในเปลือกหอย ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ไข่มุกคงจะมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น ไม่ใช่ของหายากมากด้วยมูลค่าอย่างในปัจจุบัน โลกของหอยมุกเต็มไปด้วยก้อนกรวดมากมาย เพราะมันอาศัยอยู่ในจักรวาลที่เป็นผืนทรายและใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการคอย ดูดและเป่าทรายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในความเป็นจริงแล้ว ไข่มุกเกิดจากการกระตุ้นโดยสิ่งแปลกปลอมที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยอาจจะเป็นเศษสิ่งผุพังขนาดเล็ก (เช่น เศษกระดูก เศษเปลือกหอย หรือเศษปะการัง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นผู้บุกรุกที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเสียมากกว่า หอยมุกมักถูกก่อกวนด้วยปรสิตหลายชนิด ซึ่งรวมถึงตัวหนอนพยาธิ ฟองน้ำและหอยแมลงภู่ที่เจาะทะลุเปลือกเข้าไป ผู้บุกรุกเหล่านี้คือตัวการสำคัญในการสร้างความระคายเคืองที่กระตุ้นให้หอย มุกสร้างไข่มุกขึ้นมา”

เมื่อ ถูกบุกรุก หอยมุกจะตอบสนองโดยการขังเดี่ยวปรสิตไว้ภายใน “ถุงไข่มุก” สิ่งที่อยู่ภายในเปลือกทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอวัยวะที่เรียกว่าแมนเทิล ซึ่งจะหลั่งสารอินทรีย์ที่เรียกว่าเนเคอร์ (nacre) มันเป็นสารวิเศษที่มีความแข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่นและเป็นมันเงา เนเคอร์เป็นส่วนผสมระหว่างผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารคัดหลั่งอินทรีย์ คล้ายเคราติน มันจะเคลือบฝังศัตรูแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาทั้งหมด และผลที่ได้ก็คือไข่มุกหนึ่งเม็ดนั่นเอง หอยมุกสามารถเคลือบได้วันละสี่ชั้น แต่ในการสร้างชั้นของเนเคอร์หนา 1.27 มิลลิเมตร ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี และการสร้างไข่มุกที่สมบูรณ์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ถึง 20 ปี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหอยมุกหนึ่งตันจึงให้ผลผลิตเป็นไข่มุกได้เพียงสามเม็ด เท่านั้น และตามความเป็นจริงแล้ว มีโอกาสแค่หนึ่งในล้านที่ไข่มุกจะมีทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้หอยมุกหนึ่งตัวอาจให้ไข่มุกได้หลายรอบเพราะพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ ในธรรมชาติได้นานถึง 80 ปี
ความหายากและความสวยงามของไข่มุกทำให้ เกิดทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมัน บ้างว่าไข่มุกเกิดจากหยดน้ำค้างที่ตกลงไปในตัวหอยขณะที่มันอาบแสงแดดตอนรุ่ง เช้า หรือเป็นน้ำตาของนางฟ้าที่กลายเป็นผลึก หรือเกิดจากสายฟ้าฟาดใส่หอย แนวคิดเรื่อง “เม็ดทราย” ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในศตวรรษที่ 19 เสนอว่า มันคือไข่ของหอยที่ตายแล้ว จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 นักวิจัยจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศสค้นพบทฤษฎีถุงไข่มุก และนำไปสู่การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นครั้งแรก

ไข่มุก สมัยใหม่เกือบทั้งหมดเป็นไข่มุกที่มาจากฟาร์ม ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปีละ 300 ล้านปอนด์ การเพาะเลี้ยงไข่มุกเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ากินเวลานานโดยหอยแต่ละตัวจะ ถูกเปิดออก จากนั้นจะใส่ลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่พร้อมกับแมนเดิล (ตัดมาจากหอย “บริจาค”) เข้าไปภายในต่อมเพศของมันอย่างระมัดระวัง เมื่อแมนเดิลรวมเข้ากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบ มันจะถูกกระตุ้นให้ผลิตถุงไข่มุก แล้วฉาบลูกปัดจากเปลือกหอยแมลงภู่ด้วยสารเนเคอร์ สองปีต่อมาคุณจะได้สิ่งที่ไม่ต่างไปจากไข่มุกตามธรรมชาติเลย ขอแค่อย่าขูดมันแรงๆ จนเกินไปเท่านั้นพอ


ร่รัตนชาติ

รัตนชาติแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1)      รัตนชาติที่เป็นสารอินทรีย์  ได้แก่  ไข่มุก ปะการัง  อำพัน
2)      รัตนชาติที่เป็นสารอนินทรีย์  ได้แก่  เพชรพลอยต่างๆ
แร่รัตนชาติเป็น อโลหะ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้ให้มาก   โดยเฉพาะเพชรพลอยที่แปรรูปเป็นอัญมณีแล้ว
                สถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้  ความหมายของรัตนชาติหรืออัญมณีว่าเป็นแร่และหรือสารประกอบอินทรีย์ที่นำมาใช้เป็นเครื่องประดับ    มีสมบัติสำคัญคือ1. ความสวยงาม 2.ความคงทน 3.ความหายาก 4.ความนิยม และ 5. ความสามารถในการพกพา  ส่วนสารประกอบที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตและจัดเป็นรัตนชาติ ได้แก่ 1.ไข่มุก 2.ปะการัง 3.อำพัน นอกจากนี้สถาบันดังกล่าว  ยังแบ่ง อัญมณีออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1.เพชร 2.พลอยหรือหินสี
                บ่อพลอยที่เป็นแหล่งผลิตรัตนชาติที่สำคัญและเก่าแก่ของไทยอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี  ตราด และกาญจนบุรี  ส่วนเพชรพบปนอยู่ในลานแร่ดีบุกที่จังหวัดภูเก็ตและพังงา แต่ปริมาณน้อยและคุณภาพต่ำมาก  แร่รัตนชาติ ที่มีชื่อเสียงของไทย ได้แก่ ทับทิมสยาม  ไพลินหรือแซปไฟร์สีน้ำเงิน บุษราคัม
                ทับทิมสยามและไพลินเป็นพลอยในตระกูลแร่ คอรันดัม มีส่วนประกอบหลักเป็น อะลูมิเนียมออกไซด์  โดย มี Al ร้อยละ52.9 และ O ร้อยละ 47.1 โดยมวล   การที่พลอยตระกูลคอรันดัมมีสีแตกต่างกันเนื่องจากมีธาตุอื่นเป็นมลทิน เช่น 
 -       ถ้ามี Cr จะทำให้เนื้อพลอยมีสีชมพูจนถึงสีแดงเข้ม ซึ่งเรียกว่า ทับทิม
-ถ้ามี Fe จะทำให้พลอยมีสีเขียวอ่อน สีเหลือง หรือสีน้ำตาล
-ถ้ามีทั้ง Fe และ Ti ปนด้วยกัน จะทำให้พลอยมีสีน้ำเงินอ่อนถึงสีน้ำเงินเข้ม เรียก ไพลิน
-ถ้ามีแร่รูไทล์ ปนอยู่ จะทำให้พลอยมีลายเส้นเหลือบๆ หรือ รูปดาว เรียกว่า พลอยสาแหรกหรือพลอยสตาร์
การตรวจสอบเพชรและพลอยเพื่อจำแนกชนิดหรือเพื่อพิสูจน์ว่า เป็นของแท้หรือเทียม จะใช้เครื่องมือและวิธีการเฉพาะ เพื่อตรวจสอบสมบัติที่ปรากฏ เช่น ความแข็ง  ความถ่วงจำเพาะ รูปลักษณะของผลึกที่เกิดตามธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งเป็นสมบัติเฉพาะของรัตนชาติแต่ละชนิด
แร่รัตนชาติแต่ละชนิดมีความแข็งหรือความทนทานต่อการขูดขีดได้ไม่เท่ากัน นักธรณีวิทยาชาวเยอรมัน ชื่อ เฟดริก  โมส์   ได้จัดระดับความแข็งของแร่ตั้งแต่อ่อนที่สุดจนถึงแข็งที่สุดไว้ 10 ระดับ โดยเพชร เป็นแร่ที่มีความแข็งที่สุด  และ โดยทั่วไปแร่รัตนชาติจะมีความแข็งสูงกว่า 6
เพชรเป็นอัญมณีที่มีความแข็งที่สุด ประกอบด้วยผลึกของธาตุคาร์บอน มีโครงสร้างเป็นร่างตาข่าย ไม่นำไฟฟ้า แต่นำความร้อนได้ดีที่สุด และดีกว่าทองแดง 5 เท่า จึงถูกนำไปใช้ทำส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันสามารถสังเคราะห์เพชรได้ โดยอัดแกรไฟต์ภายใต้ความดัน 50,000-100,000 บรรยากาศ ที่อุณหภูมิ 2000 oC โดยมีโครเมียม เหล็ก หรือแพลทินัมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เพชรที่ได้จะมีความแข็ง ความถ่วงจำเพาะ ค่าดัชนีหักเหแสง และโครงสร้างผลึกเหมือนกับเพชรธรรมชาติ แต่การผลิตเพชรจะเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก
ส่วน ทับทิม ไพลิน และบุษราคัม มีระดับความแข็ง ความถ่วงจำเพาะ และค่าดัชนีหักเหแสงเท่ากัน จึงจัดเป็นแร่ชนิดเดียวกัน แต่มีสีแตกต่างกันเนื่องจากมีธาตุมลทินในเนื้อพลอยแตกต่างกัน
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยให้มีการเพิ่มคุณภาพของแร่ได้หลายวิธี เช่นการเจียระไน การเผา การอาบรังสี การย้อมเคลือบสี และการฉายแสงเลเซอร์ วิธีการเหล่านี้ช่วยให้อัญมณีมีความงดงามและมีคุณค่ามากขึ้น
การเจียระไน เป็นเทคนิคที่ทำให้อัญมณีมีความแวววาวเป็นประกายและมีสีสันเด่นชัดขึ้น โดยใช้เครื่องมือทำให้เป็นเหลี่ยม เพื่อให้แสงหักเหสะท้อนกลับไปมาภายในผลึกและสะท้อนออกด้านหน้า



รูป 1 การเจียระไนเพชรพลอยแบบต่างๆ


                การเผาพลอยหรือการหุงพลอย เป็นเทคนิคที่ช่วยให้พลอยมีสีสันสวยงาม โดยใช้ความร้อนและอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้ธาตุต่างๆ ในเนื้อพลอยจัดเรียงตัวใหม่ ทำให้พลอยใสขึ้นและมีสีเปลี่ยนไปอย่างถาวรดังแสดงในตารางที่ 1



การเผาพลอย
                การเผาพลอยหรือการหุงพลอย คือ การทำให้พลอยมีสีสันสวยงามยิ่งขึ้น โดยการนำพลอยมาให้ความร้อนในช่วงอุณหภูมิและภาวะที่เหมาะสม จนธาตุต่างๆในเนื้อพลอยใสขึ้นและมีสีเปลี่ยนไปถาวร  เช่น

ชนิดของพลอย
สีเดิมตามธรรมชาติ
สีที่เปลี่ยนแปลงหลังการให้ความร้อน
-ทับทิม
-แซปไฟร์สีน้ำเงิน(ไพลิน)
-แซปไฟร์สีขาว
-เพทาย
-โทแปซ

-ควอตซ์ (แอเมทิสต์)
แดงอมม่วง แดงอมน้ำตาล ชมพูอมม่วง
น้ำเงิน
ขาวใส ขาวขุ่นน้ำนม หรือขาวอมเหลือง
น้ำตาล สีชา
ขาวใส

ม่วง
แดงสดหรือชมพูสด
น้ำเงินเข้มขึ้นหรือน้ำเงินสว่างขึ้น
น้ำเงิน เขียว เหลือง หรือเหลืองน้ำทอง
ใสไม่มีสี เหลืองน้ำทอง น้ำเงิน
น้ำเงิน (ก่อนเผาจะอาบรังสีนิวตรอนให้ได้สีเหลือง น้ำตาล หรือเขียว)
ใสไม่มีสี เหลืองน้ำทอง เขียว

                การย้อมเคลือบสี คือการเผาพลอยรวมกับสารเคมีบางชนิด ทำให้พลอยมีสีสันสวยงามขึ้น สารเคมีที่ใช้จะมีส่วนผสมของธาตุมลทินที่ทำให้พลอยชนิดนั้นเกิดสีตามธรรมชาติ แต่จะแตกต่างกับการเผาพลอยตรงที่ สีที่เกิดขึ้นสามารถอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
                การอาบรังสี คือการนำพลอยไปอาบรังสีแกมมาจากโคบอลต์-60 ทำให้สีเปลี่ยนแปลง
               
                ปัจจุบันมีการนิยมทำเพชรเทียมกันมากขึ้นเนื่องจากเพชรธรรมชาติหายากและมีราคาแพง โดยเพชรเทียมที่ได้รับความนิยาสูงสุดคือ เพชรรัสเซีย หรือคิวบิกเซอร์โคเนีย เพชรเทียมมีการกระจายแสงสูงกว่าเพชรธรรมชาติจึงทำให้เป็นประกายแวววาว และมีความถ่วงจำเพาะสูงกว่าเพชรธรรมชาติมาก
                ในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีการนำแผ่นฟิล์มเพชรบางๆซึ่งได้จากการทำเพชรสังเคราะห์ โดยการเผาแก๊สมีเทนหรืออะเซติลีนสลายพันธะได้อะตอมของคาร์บอนเกาะติดบนแผ่นฟิล์มซิลิคอน เป็นแผ่นเพชรช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากวงจรอิเล็กทรอนิกส์

เพชร เป็นรัตนชาติซึ่งมีความแข็งมากที่สุด เนื่องจากคาร์บอนซึ่งเป็นองค์ประกอบของเพชรยึดเหนี่ยวกับคาร์บอนอะตอมข้างเคียง 4 อะตอม เกิดเป็นทรงสี่หน้า และเกิดต่อเนื่องกันไปไม่มีที่สิ้นสุดเกิดเป็นโครงผลึกร่างตาข่าย ทำให้เพชรเป็นสารที่มีความแข็งแรงมากที่สุดในโลก เพชรในธรรมชาติหายากและมีราคาแพง จึงมีการผลิตเพชรเทียมหรือเพชรรัสเซียซึ่งมีชื่อเคมีว่า คิวบิกเซอร์โคเนีย เพชรรัสเซียมีองค์ประกอบเป็นเซอร์โคเนียมไดออกไซด์ (ZrO2) อิตเทรียมออกไซด์ (Y2O3) และแคลเซียมออกไซด์ (CaO) เพชรรัสเซียมีการกระจายแสงมากกว่าเพชรแท้ ทำให้เกิดความแวววาวและมีความถ่วงจำเพาะมากกว่าเพชรธรรมชาติ

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฤดูกาลต่างๆในเกาหลี

ฤดูกาลต่างๆในเกาหลีใต้

ภูมิอากาศ ของประเทศเกาหลีใต้ จะแบ่งออกเป็น 4 ฤดู แต่ละฤดูจะมีความยาวนานประมาณ 3 เดือน คือ
winter-korea
ฤดูหนาว Winter (ช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์) เป็นช่วงที่หิมะตก ถือได้ว่าเป็นฤดูอันแสนโรแมนติกของหนุ่มสาวชาวเกาหลี เพราะมีหนังเกาหลีหลายเรื่องจะถ่ายทำฉากที่หิมะกำลังตก โดยส่วนใหญ่จะตกหนักในช่วงเดือนมกราคม และเป็นช่วงที่หนาวที่สุดเช่นกัน อุณหภูมิอาจจะลดลงต่ำ -10 ถึง -20 องศาได้เลยสำหรับบางวัน ช่วงนี้จะเป็นช่วงเหมาะกับการเล่นสกี โดยสกีรีสอร์ทที่ เกาหลีหลายแหล่งจะเปิดให้บริการ ในอัตราค่าที่พัก และค่าเช่าอุปกรณ์ไม่แพงนัก ทัวร์เกาหลีส่วนใหญ่ของช่วงนี้จะพาไปสัมผัสกับการเล่นสกี อีกทั้งยังมีเทศกาลน้ำแข็ง และตกปลาเทร้าท์ภูเขาของเมืองฮวาซอง เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะได้ตกปลา และนำมารับประทานกันสดๆแล้ว ยังได้เห็นวิธีการตกปลาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (จัดประมาณเดือนมกราคม ของทุกปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ)
การแต่งกายในช่วงฤดูหนาว เสื้อ ผ้า เครื่องกันหนาว ควรเตรียมให้พร้อม ทั้งลองจอน โอเวอร์โค๊ด เสื้อโค้ทขนสัตว์ เสื้อยืดหนักกางเกงที่อบอุ่น ผ้าพันคอ ถุงมือ ที่สวมปิดหูกันหนาวขนสัตว์ รองเท้าที่ทำจากขนสัตว์ เตรียมไว้ให้มากที่สุดไว้ก่อน ช่วงนี้จะมีแฟชั่นตอนรับลมหน้าออกมาทุกปี มีสีสันสดใส หนุ่มสาวเกาหลี จะใส่เดินโชว์กันอย่างสวยงาม

 spring-korea
ฤดูใบไม้ผลิ Spring (ช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม) อากาศ จะประมาณ 5-20 องศา เป็นช่วงที่ดอกไม้ ใบไม้เริ่มผลิบาน ชาวเกาหลี ถือว่าเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้น และสดใส ทุกที่จะเต็มไปด้วยสีสันสดใส ของดอกไม้ โดยจะเริ่มได้เห็นดอกทิวลิปในช่วงปลายเดือนมีนาคม ถึง ต้นพฤษภาคม และเทศกาลที่หลายคนตั้งตารอ คือเทศกาลดอกซากุระเกาหลี (Cherry Blossom) โดยปกติจะจัดขึ้นในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายน ทั้งนี้ดอกซากุระจะบานตามสภาพอากาศ ต้องเช็คใกล้ๆวันเดินทางอีกทีว่าจะบานช่วงไหน ซึ่งจะบานไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็จะร่วงหมด โดยดอกซากุระจะเริ่มบานจากทางใต้ของประเทศ ขึ้นมาทางเหนือ
การแต่งกายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ควรสวมเสื้อผ้าสบายๆ มีแจ็คเก็ตทับก็เพียงพอแล้ว เวลากลางวันก็เริ่มยาวนานขึ้น เสื้อผ้าเลือกแบบไม่ต้องหนามาก กางเกงยืน ร้องเท้าหุ้มส้น หรือแต่งตามแฟชั่นแบบสบายๆ เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะกับการออกนอกบ้านเที่ยวตามสถานที่เที่ยวต่างๆ

summer-korea
ฤดูร้อน Summer (ช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม) เป็น ฤดูที่อากาศจะร้อนสุดในเกาหลี อุณหภูมิ อาจจะสูงถึง 30 องศา และเป็นช่วงที่เหมาะกับการทำเกษตร เพราะมีความชุ่มชื่นของฝนตกเป็นระยะๆ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาช่วงนี้ ต้องเตรียมตัว และดูพยากรณ์อากาศไว้ก่อน อย่างไรก็ตามช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ราคาทัวร์เกาหลี หรือตั๋วเครื่องบินราคาถูกสุด และมักมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายดีๆออกมาให้นักท่องเที่ยวในช่วงนี้
การแต่งกายในช่วงฤดูร้อน ควรเป็นชุดที่สวมใส่สบายๆ กางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุด แว่นตากันแดดและหมวกตามแฟนชั่นต่างๆ หรืออาจจะมีเสื้อแจ็คเก็ตบางๆสักตัว เผื่อบางช่วงฝนตก แล้วทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงมาได้ นักท่องเที่ยวควรจะเช็คพยากรณ์อากาศก่อนเดินทาง เพราะถือได้ว่าเป็นฤดูที่มาฝนตกมากที่สุด

 autumn-korea
ฤดูใบไม้ร่วง Autumn (ช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน) อากาศช่วงนี้จะเย็นสบายๆ ประมาณ 10-20 องศา เป็นฤดูที่ถือได้ว่าสวยงามที่สุด ของเกาหลี ฤดูกาลท่องเที่ยวที่สำคัญ นักท่องเที่ยวทั้งในเกาหลี และต่างชาติ จะตั้งตาคอย ชมปรากฏการณ์ธรรมชาติ คือใบไม้เปลี่ยนสี โดยใบเมเปิ้ล จะเปลี่ยนเป็นสีแดง และใบแปะก้วย จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ก่อนจะร่วงหมด ปกติแล้ว ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี จะเริ่มประมาณวันที่ 15 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน แล้วแต่สภาพอากาศด้วย จะมีสีสันสสดใส ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ขึ้นชื่อที่สุด คือ อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน แถวขึ้นกระเช้าจะยาวเหยียดหลายร้อยเมตรทีเดียว และอีกทีนึงคือ เกาะนามิ จะได้ภาพบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติกทีเดียว
การแต่งกายในฤดูใบไม้ร่วง  ซึ่ง ถือได้ว่าเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบายที่สุดของเกาหลีใต้ ควรใส่เสื้อผ้าที่หนาพอควร และมีเสื้อกันหนาวหนาๆสักตัว เนื่องจากที่เกาหลีมีลมแรง กางเกงขายาว รองเท้าหุ้มสน ตามร้านขายเสิ้อผ้าทั่วไปจะเริ่มมีเสื้อผ้าแฟนชั่นตอนรับลมหนาวกันบ้างแล้ว
เรื่องน่ารู้.. ก่อนไปเที่ยวเกาหลี






ก่อนจะเดินทางไปเกาหลี มาดูข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับประเทศเกาหลีสักเล็กน้อยนะคะ เพื่อที่การเดินทางในทริปนี้ของเราจะได้สนุกสนาน และราบรื่น และกลับมาพร้อมกับความประทับใจค่ะ



เวลาเกาหลี สภาพอากาศเกาหลี
ที่เกาหลีเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง ช่วงฤดูนี้  อากาศเย็นสบายอุณหภูมิราว 20-30 องศาเซลเซียส  เครื่องแต่งกายที่ควรสวมใส่ในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน สามารถสวมเสื้อเชิร์ตแขนยาว กางเกงและอาจสวมเสื้อหนาวทับ เสื้อผ้าแบบสวมใส่สบาย แว่นกันแดด หมวก ถุงเท้า รองเท้าแบบสวมสบายหรือรองเท้าผ้าใบ แปรงสีฟัน ยาสีฟันและแชมพูสระผม ฟิล์ม กล้องถ่ายรูป และยาประจำตัว


อัตราแลกเปลี่ยนเกาหลี

1,000 วอน ประมาณ 35-45 บาท (ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนได้จาก http://finance.yahoo.com/currency-converter?u#from=THB;to=KRW;amt=100) ควรแลกเงินวอนหรือเงินดอลลาร์และบัตรเครดิตสามารถนำไปใช้กับร้านค้าปลอดภาษีหรือห้างสรรพสินค้า ยกเว้นตลาดพื้นเมือง

การแลกเงินเกาหลี
แลกได้ที่ร้านซุปเปอร์ริช ตั้งอยู่ที่ถนนราชดำริ ปทุมวัน กทม. (ตรงข้ามกับ Central World Plaza  โดยเข้าไปทางซอยทางเข้าห้าง Big C และก็เลี้ยวซ้าย จะมีอยู่ 2 ร้านตรงข้ามกัน สามารถโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 02-655-2488 บริษัท ซุปเปอร์ริช 1965 จำกัด เปิด จันทร์ - เสาร์ 9.00 - 18.00 น.) หรืออาจแลกแต่เงินดอลล่าร์แล้วค่อยมาแลกเงินวอนที่สนามบินอินชอนที่เกาหลีก็ ได้ ควรแลกติดตัวไว้ประมาณ 500$ หรือ 600,000 วอน


ช็อปปิ้งเกาหลี
ตลาดที่ดังๆ อย่าง ทงแดมุน เมียงดง อิเทวอน ใช้ได้เฉพาะเงินวอนเกาหลีเท่านั้น ต่อรองราคาสินค้าได้ 10-30% ส่วนร้านค้าปลอดภาษี ห้างสรรพ


สินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเกาหลี
ไม่สามารถต่อรองราคาได้ ควรมีเครื่องคิดเลขติดตัวไปด้วย นอกจากนี้เค้าจะไม่มีถุงพลาสติกใส่ของให้ หากต้องการถุงต้องเสียเงินซื้อ ดังนั้นควรนำถุงพลาสติกไปด้วย


ฤดูกาลเกาหลี
ฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิ 10-25 องศาเซลเซียส


ฤดูร้อน เดือนมิถุนายน-สิงหาคม อุณหภูมิ 25-35 องศาเซลเซียส


ฤดูใบไม้ร่วง เดือนกันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิ 5-15 องศาเซลเซียส


ฤดูหนาว เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิ -10-10 องศาเซลเซียส


ช่วงอากาศหนาว ราวเดือนพฤศจิกายน-เมษายน โรงแรมจะเปิดฮีทเตอร์แทน หากต้องการอากาศเย็น ให้เปิดหน้าต่างรับลมได้ ระบบแอร์ในเกาหลีเป็นแบบรวม ควบคุมจากศูนย์กลางแห่งเดียว


โรงแรมเกาหลี

ส่วนใหญ่จะไม่มีแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาสระผมและที่โกนหนวด ต้องเตรียมไปเอง รวมทั้งผ้าเช็ดตัวด้วย โรงแรมในเกาหลีจะมีแต่ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กนุ่งไม่ได้

น้ำดื่มเกาหลี

ไม่มีบริการ ถ้าจะดื่มในมินิบาร์ต้องเสียเงิน  อาหาร ทุกมื้อจะมีกิมจิเป็นเครื่องเคียงหลัก

โทรศัพท์เกาหลี

มือถือจากประเทศไทยไม่สามารถใช้ในเกาหลีได้ เนื่องจากมีระบบที่แตกต่างกัน เกาหลีใช้ระบบ CDMA หากต้องการนำโทรศัพท์มือถือไปใช้ในเกาหลี ต้องแจ้งเปลี่ยนระบบจากเมืองไทยก่อน

ถ้าต้องการโทรศัพท์กลับเมืองไทย เพื่อความสะดวกควรใช้บัตรโทรศัพท์ที่มีขายในโรงแรมทั่วไป หรือซื้อตามร้านสะดวกซื้อที่ทงแดมุน และอิเทวอน ราคาประมาณ 10,000 - 12,000 วอนต่อใบ ใช้ได้ประมาณ 2 ชม.


การให้ทิปในเกาหลี
ในประเทศเกาหลีมีความสำคัญมาก โดยปกติตามร้านอาหารและโรงแรม ไม่มีบริกรคอยอำนวยความสะดวก ผู้ใช้บริการต้องดูแลตัวเอง เช่น นำกระเป๋าขึ้นห้องพักเอง ดังนั้น ถ้าใช้บริการของบริกรควรให้ทิปตามธรรมเนียม


ส่วนคนขับรถและไกด์ท้องถิ่น ที่อำนวยความสะดวกระหว่างทัวร์ ปกติจะคิดค่าบริการเฉลี่ย 5,000 วอน/วัน/ผู้ใช้บริการ 1 คน


ระหว่างการเดินทาง พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน เป็นเอกสารสำคัญ ควรจัดเก็บไว้ให้มิดชิด


บริการแท็กซี่เกาหลี
มี 2 แบบ แท็กซี่ป้ายสีฟ้าและ คนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ คิดค่าบริการ 1,900 วอนต่อ 2 กิโลเมตรแรก ช่วงเที่ยงคืนถึงตีสี่ จะคิดเพิ่ม 20% ส่วน แท็กซี่ป้ายเหลือง แบบเดอลุกซ์ แพงขึ้นอีกเท่าตัวประมาณ 4,000 วอนต่อ 3 กิโลเมตรแรก คนขับพูดภาษาอังกฤษได้ ไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มในตอนกลางคืน สีขาว


ควรมีนามบัตรและโบรชัวร์โรงแรมติดตัวไว้ด้วย


รถไฟฟ้าใต้ดินเกาหลี

ราคา 900 วอน/คน ตลอดสาย

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลักษณะทั่วไปของอาชีพ

ำว่า ( AIR ) HOSTESS นั้น ความหมายตามพจนานุกรม คือ เจ้าของบ้านที่เป็นผู้หญิง ส่วน ( AIR ) STEWARD นั้น หมายถึง ผู้พิทักษ์

แอร์โฮสเตส และสจ๊วต จึงหมายถึงผู้พิทักษ์ความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารบนอากาศยาน โดยมีหน้าที่ต่างๆ เช่น คอย ดูแลช่วยเหลือผู้โดยสารในกรณีฉุกเฉิน รับผิดชอบครวจเช็คอุปกรณ์ประจำเครื่องตามจุดต่างๆ เช่น ถังออกซิเจน เครื่องดับเพลิง ไฟฉาย หน้ากากออกซิเจน และเสื้อชูชีพ สำหรับสาธิตให้ผู้โดยสาร ฯลฯ ให้ครบถ้วนถูกต้องตามรายการ และอยู่ในสภาพใช้การได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการให้บริการด้านต่างๆ แก่ผู้โดยสาร เช่น การเตรียมอาหาร การเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม การให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้โดยสารที่เกิดเจ็บป่วย การจัดหาที่นั่งให้กับผู้โดยสาร ตรวจดูให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดก่อนเครื่องบินขึ้นหรือลง แจกหนังสือพิมพ์ นิตยสารให้ผู้โดยสารอ่าน และดูแลรักษาความสะอาดเรียบร้อยในห้องผู้โดยสารและห้องน้ำ รวมทั้งให้บริการด้านอื่นๆ ที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร

--> คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

แอร์โฮสเตส และ สจ๊วต เป็นอาชีพที่ให้บริการแก่ผู้โดยสาร ฉะนั้น ผู้ที่ประกอบอาชีพทางด้านนี้ ยังควรมีคุณสมบัติต่างๆ เช่น

1. มีกิริยามารยาท สุภาพอ่อนโยน อบอุ่น และมีท่วงท่าที่นุ่มนวล
2. มีบุคลิกภาพดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความเป็นมิตรกับผู้อื่น และสามารถปรับตัวเข้ากับบุคคลอื่นและสังคมได้ง่าย
3. มีความอดทนต่อความยากลำบากของงาน อดทนต่อปฏิกิริยาของผู้โดยสาร และมีความอดทนต่อเพื่อนร่วมงานต่างๆ
4. แต่งตัวดี สะอาด และเรียบร้อย
5. มีไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
6. มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย และจิตใจ
7. มีใจรักงานทางด้านบริการ มีมนุษยสัมพันธ์ดี และมีความห่วงใยเอาใจใส่อย่างจริงใจที่จะมอบให้แก่ผู้โดยสาร
8. มีความรู้ภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศอื่นๆดี
9. สามารถว่ายน้ำได้
10. เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

--> การทำงาน

การ ทำงานของแอร์โฮสเตสและสจ๊วตนั้น เป็นเวลาที่ไม่แน่นอนไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน ขึ้นอยู่กับเที่ยวบินหรือสายการบินที่จะเดินทาง ว่าจะออกกี่โมงและในการเดินทางแต่ละครั้งทั้งสจ๊วต และแอร์โฮสเตสจะต้องกำหนดเวลาในการเดินทางไปสนามบินเผื่อไว้ทุกครั้ง โดยจะต้องเดินทางไปถึงสนามบินก่อนเครื่องบินออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อเตรียมตัวและไม่ตกเครื่องบิน แอร์โฮสเตสและสจ๊วตจึงต้องเป็นผู้มีความรับผิดชอบอยู่สูง

--> โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ

ผู้ ที่มีความรู้ความสามารถ มีความรับผิดชอบ มีมนุษยสัมพันธ์ และมีความกระตือรือร้นในการทำงานอยู่เสมอ ย่อมมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งไปสู่ตำแหน่งงานที่สูงกว่าและดีกว่า ตั้งแต่เริ่มแรก คือ เมื่อสจ๊วตและแอร์โฮสเตสได้รับการฝึกอบรมครบ 8 สัปดาห์แล้ว ก็จะเริ่มปฏิบัติงานจริง โดยในช่วงเดือนแรกจะเป็นช่วงของการทดลองงาน (บินภายในเอเชีย) จะมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน จากซุปเปอร์ไวเซอร์ หรือ หัวหน้างาน ซึ่งจะประเมินผลในทุกๆด้าน เช่น การให้การบริการ การตรงต่อเวลา การร่วมมือประสานงานกัน การแสดงออก ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อารมณ์ และทัศนคติ เป็นต้น เมื่อพ้นช่วงทดลองงาน 6 เดือนแล้ว จึงจะได้บินไป ตะวันออกกลางและพอผ่านการทดลองงาน 1 ปี จึงจะได้บินข้ามทวีป แต่ก็ยังคงทำงานในชั้นประหยัด ( Economy Class ) เหมือนเดิม จนกระทั่ง 1 ปี 6 เดือน จึงจะมีสิทธิ์สมัครชั้นธุรกิจ ( Royal Executive Class )ได้ การคัดเลือกครั้งนี้จะพิจารณาจากประวัติการทำงาน พอพ้นจากชั้นธุรกิจจึงจะมีสิทธิ์สมัครทำงาน ในชั้นหนึ่ง ( Royal First Class ) ทุกครั้งที่เลื่อนชั้นการทำงานก็จะได้รับการอบรมเพิ่มเติมทั้งในด้านอาหาร เครื่องดื่ม การบริการ และการดูแลรักษาความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉินเสมอ

นอก จากความก้าวหน้าในการเลื่อนตำแหน่งของชั้นบริการแล้ว แอร์โฮสเตสและสจ๊วต ยังมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งอื่นๆอีก เช่น เลื่อนเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ เป็นครูฝึก เป็นต้น

--> ความต้องการแรงงาน

การ ประกอบอาชีพแอร์โฮสเตสและสจ๊วตนั้นเป็นอาชีพที่ต้องการความคล่องแคล่ว ว่องไว ผู้ประกอบอาชีพในตำแหน่งนี้ จึงมักเป็นผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ แต่พอมีอายุมากขึ้นก็ต้องย้ายไปทำงานในส่วนอื่น ที่มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไป จึงทำให้การปลดเกษียณอายุของการเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสั้นกว่าการ ทำตำแหน่งอื่น ( ผู้ที่ปลดเกษียณการเป็นพนักงานต้อนรับ มักจะสามารถทำงานในภาคพื้นดินได้ ) ทำให้ความต้องการของอาชีพนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ประกอบกับการขยายตัวของสายการบินต่างๆ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าทางธุรกิจ ที่เป็นต้นเหตุให้คนในประเทศต่างๆต้องมีการติดต่อกันเพื่อผลทางธุรกิจ จึงทำให้มีผู้คนที่ต้องเดินทางเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้ที่มาติดต่อธุรกิจหรือผู้ที่ต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงเป็นอาชีพที่ยังเป็นที่ต้องการอยู่ตราบเท่า ที่มีการขยายตัวของสายการบินต่างๆทั่วโลก
ผยดื่มนม+ออกกำลังกายช่วยได้
 
          นม เป็นแหล่งอาหารที่ให่แร่ธาตุแคลเซียมที่สำคัญและจำเป็นต่อการเจิรญเติบโตของ เด็กโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นกระดูกและฟันการดื่มนมร่วมไปกับการออกกำลัง กายอย่างสม่ำเสมอช่วยสร้างและสะสมความหนาแน่นของมวลกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนมนระยะยาว การดื่มนมร่วมไปกับการออกกำลังกายช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของการพดูกมนแนว ความยาว ส่งผลต่อความสูงของเด็ก

          เด็ก วัยเรียนและวัยรุ่น ควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุควรดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 1-2 แก้ว แต่ข้อมูลปี 2548 พบว่า คนไทยดื่มนมในอัตราที่ต่ำกว่า เฉลี่ย 12.03 ลิตรต่อคนต่อปี หรือเพียง 2 ช้อนโต๊ะต่อวันเท่านั้น ขณะที่ญี่ปุ่นบริโภคนมพร้รอมดื่มเฉลี่ย 39 ลิตร ต่อคนต่อปี สหรัฐอเมริกา 92 ลิตร และออสเตรียเลีย 102 ลิตร ต่อคนต่อปี

          จึง ไม่น่าแปลกใจว่า การศึกษาในปี 2544 พบว่า เด็กไทยเมื่ออายุ 4 ปี เตี้ยกว่าเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก 1-2 ซม.เมื่ออายุ 11-12 ปี เตี้ยกว่ามาตรฐาน 4.5-6 ซม. และเมื่ออายุ 16 ปี เด็กชายเตี้ยกว่ามาตรฐานมากกว่า 7.5-11 ซม. และเด็กหญิงเตี้ยกว่ามาตรฐานประมาณ 5.5-6.5 ซม. ผลการศึกษาวิจัยทางโภชนาการบ่งชี้ว่า เด็กไทยได้รับแคลเซียมเพียง 50% จากปริมาณที่ร่างกายต้องการ

          แต่ นมชนิดใดกันที่ดื่มและมีประโยชน์สูงสุด ก็ต้องตอบว่านมสดแท้ 100% เพราะเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต ของเด็ก

          นม สดแท้ 100% คือ นมสดแท้พร้อมดื่มที่ไม่มีการเติมสี เติมน้ำตาลหรือเติมสารให้รสชาตอื่นใด มี 2 ชนิดคือ นมสดจากนมแม่และนมวัวสดแท้รสธรรมชาติ หรรือนมสดรสจืด นมสดแท้ 100% 1 แก้ว(200 มล.) มีสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่

          โปรตีนประมาณร้อยละ 17-22 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในวัน 1 วัน

          ไขมัน ร้อยละ 12 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน

          ไขมันในนม มีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น CLA(Conjugated linoleic acid) และ sphingolipids ช่วย ลดความเสี่ยงต่อโรคต่อหัวใจได้ สำหรับนมพร่องมันเนยจะมีไขมันน้อยกว่า 1 ใน 3 ของนมพร้อมดื่มปกติ จึงเหมาะกับผู้สูงอายุและผู้มีมีปัญหาไขมันในเลือดสูง

          น้ำตาล ธรรมชาติที่มีอยู่ในนมสดแท้ 100% คือ น้ำตาลแลคโตส ช่วยดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมและเมื่อถูกย่อยจะเปลี่ยนน้ำตาลกลูวัวสและกาแลคโต ส ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒาเยื่อหุ้มสมองและเยื่อหุ้มประสาท

          -น้ำนมแม่มีน้ำตาลแลคโตสอยู่ร้อยละ 7

          -นมวัวสดแท้มีน้ำตาลแลคโตสอยู่ร้อยละ 5

          วิตามิน เอประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณที่ร่างควรได้รับในวัน 1 วัน ช่วยการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ การมองเห็น และ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วย

          วิตามินบี 2 ประมาณ 1 ใน 4 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับใน 1 วัน ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก และกระตุ้นให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ

          แคลเซียมและฟอสฟอรัส ประมาณร้อยละ 30 ของปริมาณที่ร่างควรได้รับใน 1 วัน

          ผู้ ที่ไม่ดื่มนมมักได้แคลเซียมไม่เพียงพอเพราะในอาหารอื่น ๆ มักมีแคลเซียมต่ำและร่างกายนำไปใช้ได้ไม่ดีเท่าแคลเซียมต่ำและร่างกายนำไป ใช้ได้ไม่ดีเท่าแคลเซียมในนม ส่งผลให้ผู้ดื่มไม่ดื่มนม มีโอกาสสูงที่การเจริญเติบโตของกระดุกเท่าที่ควร ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนในวัยสูงอายุได้

          เชื่อหรือไม่ ผอมได้!....ด้วยนมสดแท้ 100%

          นอก จากแคลเซียมจะช่วยสร้างกระดูกและฟันแล้ว ยังช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกายโดยมีบทบาทต่อการลดน้ำหนักอีกด้วยเมื่อ ดื่มนมควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย

          -การ ศึกษาติดตามเด็กจำนวน 99 คน เป็นเวลา 12 ปี พบว่า ผู้ที่บริโภคนมน้อยจะมีค่าดัชนีมวลภายเพิ่มมากขึ้น และการศึกษาติดตามเด็ก 52 คนตั้งแต่อายุ 2 เดือนถึงอายุ 8 ปี พบว่า เด็กที่ได้รับอาหารที่เค้กแคลเซียมสูง เช่น นมสดแม้ จะมีไขมันสะสมในร่างกายน้อย

          -จากการศึกษาที่ Quebec (Quebec Family Study)พบ ว่า หลังจากที่มีการเพิ่มการบริโภคนมไขมันต่ำหรือนมปราศจากไขมันร่วมกับการ บริโภคผลไม้เป็นเวลา 6 ปี กลุ่มอาสาสมัครไม่มีการเพิ่มของน้ำหนักและการสะสมของไขมันเมื่อเทียบกับ กลุ่มที่ไม่ได้บริโภคอาหารแบบนี้

          การศึกษาโดยความร่วมมือของศูนย์การแพทย์ 6 แห่งในอเมริกา(Heritage Family Study)ใน ผู้ชาย 362 คนและหญิง 462 คนพบว่า ผู้ที่บริโภคแคลเซียมต่ำจะมีปริมาณไขมันในร่างกายสูงโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ของผู้ชายและผู้หญิงผิวขาว

          ข้อมูล เหล่านี้ ยืนยันได้ว่า การบริโภคนมสดแท้เป็นประจำ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการลดน้ำหนักซึ่งขณะ นี้กำลังมีการวิจัยกันการของการลดนน้ำหนักซึ่งขณะนี้กำลังมีการวิจัยกัน อย่างกว้างขวางในในสถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลก ทั้งด้านการติดตามผล การศึกษาในสัตว์ทดลอง และศึกษาในระดับเซลล์ เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับบทบาทของนมหรือแคลเซียมที่มีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก


พ.ญ.พรทิพา โรจนแสง

ประเทศ ไทยอยู่ในเขตร้อนชื้นจึงเหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของงูพิษหลายชนิด ทำให้มีงูอยู่มากถึง 165 ชนิด ซึ่งจัดเป็นงูพิษ 46 ชนิด เป็นงูพิษที่อาศัยบนบก 24 ชนิด และเป็นงูทะเล 22 ชนิด จากงูพิษทั้งหมดสามารถแบ่งชนิดของงูพิษได้ 3 ชนิดตามอาการของพิษ คือ

• พิษที่มีผลทางระบบประสาท ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง และงูสามเหลี่ยม เป็นต้น พิษของงูเหล่านี้จะแสดงอาการเร็ว คือตั้งแต่ 10 นาที ถึง หลายชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีอาการหนังตาตก ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ตาพร่า อ่อนเพลียในที่สุดเป็นอัมพาต และอาจตายจากการหายใจล้มเหลว


• พิษที่มีผลทางระบบกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเลชนิดต่างๆ มักจะแสดงอาการค่อนข้างช้า ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมง ถึงหลายชั่วโมงหลังจากถูกงูกัด บางทีอาจช้าถึง 1 วันได้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา บางรายอาจเป็นอัมพาตบางส่วน หรืออัมพาตทั้งหมด ปัสสาวะลดลง และสีจะเข้มขึ้นจนคล้ายสีของโคล่า ผู้ป่วยมักเสียชีวิตเนื่องจากไตวายหรือการหายใจล้มเหลว


• พิษที่มีผลทางระบบโลหิต ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ เป็น ต้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบวมบริเวณที่ถูกกัดอย่างเห็นได้ชัดเจนมากกว่างูพิษทาง ระบบประสาท และมีเลือดซึมตามรอยเขี้ยว มีเลือดออกใต้ผิวหนังเห็นเป็นจ้ำๆ มีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล ในรายที่รุนแรงจะมีการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะมีเลือดปน อวัยวะภายในตกเลือด มักเสียชีวิตจากอาการไตวาย


งูพิษชนิดต่างๆที่สำคัญ
























• งูเห่า (Naja naja )
เป็น งูพิษที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะนอกจากมันจะมีพิษร้ายแรงแล้ว ยังมีอยู่ชุกชุมและพบได้ทุกภาคของไทย งูเห่าสามารถแผ่แม่เบี้ยได้ บางชนิดมีความสามารถพ่นน้ำพิษออกมาได้ไกลถึง 2 เมตร ซึ่งถ้าพิษเข้าตาคนจะทำให้อักเสบอย่างรุนแรงถึงตาบอดได้ สีของงูเห่าพบได้แตกต่างกันตั้งแต่ สีเหลือง สีนวล สีน้ำตาล จนกระทั่งสีดำ


















• งูจงอาง ( Ophiophagus hannah )
เป็น งูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคยพบที่ยาวที่สุดถึง 6 เมตร ลักษณะคล้ายงูเห่า แต่ตัวโตกว่ามาก รูปร่างเพรียวยาวแผ่แม่เบี้ยได้เช่นกัน แต่แม่เบี้ยแคบกว่างูเห่าเมื่อเทียบกันตามสัดส่วนงูจงอางมีนิสัยดุ พบได้ในป่าทุกภาคแต่ชุกชุมทางใต้ ถือกันว่าเป็นงูพิษที่อันตรายที่สุดชนิดหนึ่ง



• งูสามเหลี่ยม (Bungarus fasciatus )

เป็น งูพิษที่แตกต่างจากงูชนิดอื่น ที่แนวกระดูกสันหลังยกตัวเป็นสันสูง ทำให้ลำตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมตลอดตัว และสีตัวเป็นปล้องดำสลับเหลืองตลอดแนวลำตัว ขนาดของปล้องสีดำและสีเหลืองใกล้เคียงกัน ปลายหางทู่เหมือนกับว่าหางกุด ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่นตามที่ลุ่มใกล้แหล่งน้ำ ในตอนกลางวันงูชนิดนี้ค่อนข้างเฉื่อยชา แต่จะว่องไวปราดเปรียวมากในตอนกลางคืน เป็นงูที่พบชุกชุมได้ทุกภาคของประเทศไทย



• งูแมวเซา ( Vipera russelli siamensis )

เป็น งูที่มีลำตัวอ้วนสั้น หัวค่อนข้างเป็นรูปสามเหลี่ยม บนหัวมีแต่เกล็ดเล็กๆ ปกคลุมอยู่ ไม่มีเกล็ดแผ่นใหญ่เลย สีตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีลายสีน้ำตาลเข้มเป็นดวงกลมๆตามตัว มีนิสัยดุร้าย เวลาถูกรบกวนจะสามารถพ่นลมออกมาทางรูจมูก เกิดเป็นเสียงขู่ดังน่ากลัวได้ ฉกกัดศัตรูได้รวดเร็ว งูแมวเซามีชุกชุมทางภาคกลาง



• งูกะปะ ( Calloselasma rhodostoma )

เป็น งูที่ขนาดตัวไม่โต หัวเป็นรูปสามเหลี่ยมคอดเล็ก ลำตัวสีน้ำตาลแดง มีลายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีน้ำตาลเข้ม ตามข้างลำตัว แนวกระดูกสันหลังนูนเป็นสัน ชอบขดตัว นอนนิ่งๆ อยู่ใต้กองใบไม้ร่วงหรือในพงหญ้าที่รก ตามกองหิน ขอนไม้ ไม่ชอบเคลื่อนไหว แต่สามารถ พุ่งฉกกัดศัตรูได้รวดเร็ว พบได้ทุกภาคของประเทศไทย แต่จะชุกชุมทางภาคใต้


• งูเขียวหางไหม้ ( Trimeresurus sp .)
มี อยู่หลากหลายชนิด งูเขียวหางไหม้ส่วนใหญ่มักจะมีลำตัวสีเขียวและหางสีแดง แต่ก็ไม่เป็นอย่างนี้ทุกชนิด เพราะยังมีงูอื่นๆอีกหลายชนิดที่มีตัวเขียวหางแดงเช่นเดียวกับงูเขียวหาง ไหม้ เช่น งูเขียวปากจิ้งจก งูเขียวกาบหมาก ดังนั้นสีสันจึงไม่ใช่ตัวบ่งบอกที่ถูกต้องนัก การจะตัดสินว่างูตัวใดเป็นงูเขียวหางไหม้นั้น ต้องดูที่ส่วนหัว โดยปกติแล้วงูเขียวหางไหม้ จะมีหัวค่อนข้างโต คอเล็ก หัวค่อนข้างจะเป็นรูปสามเหลี่ยม บนหัวมีแต่เกล็ด แผ่นเล็กๆปกคลุมอยู่ ไม่มีเกล็ดแผ่นใหญ่เลย และถ้าสังเกตให้ละเอียดจะพบว่า ที่ระหว่างรูจมูกกับลูกตาของมัน จะมีร่องลึกๆขนาดใหญ่อยู่ข้างละ 1 ร่อง งูเขียวหางไหม้มักจะมีลำตัวอ้วน หางสั้น พบได้ตามพื้นดินที่มีที่สำหรับหลบซ่อนตัว และตามต้นไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน งูเขียวหางไหม้ที่มีชุกชุม ได้แก่

• งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง ( Tri-meresurus albolabri s)
ตัวเป็นสีเขียวอ่อน ท้องสีเหลือง ริมฝีปากเหลือง หางแดง พบมากทางภาคกลาง

• งูเขียวหางไหม้ท้องเขียว ( Tri-meresurus popeorum )
ตัวเป็นสีเขียวเข้ม ตาโตสีเหลือง ท้องสีฟ้า หางสีแดงคล้ำ พบมากในทางภาคกลาง

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด

• ใช้เชือกรัดเหนือบาดแผล ระหว่างแผลกับหัวใจเพื่อชะลอไม่ให้พิษงูเข้าสู่หัวใจ การรัดไม่ควรรัดแบบขันชะเนาะ เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณใต้ที่รัดไว้ไม่ได้ อาจทำให้เกิดเนื้อตาย และเน่าได้ภายหลัง ถ้าหากว่าต้องใช้เวลานาน กว่าจะพบแพทย์ ก็ควรจะเปลี่ยนบริเวณที่รัดเชือกโดยรัดอีกเปราะหนึ่งเหนือที่รัดครั้งแรก แล้วจึงคลายเปราะเดิมออก ทำเช่นนี้เรื่อยๆ อาจทำทุก 10 นาทีจนกว่าจะพบแพทย์
• พยายามให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ที่จะทำให้พิษเข้าสู่หัวใจได้เร็วขึ้น
• ไม่ควรใช้ไฟจี้แผล ใช้มีดกรีดแผล หรือดูดแผล
• ไม่ควรให้ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือใช้ยากระตุ้นหัวใจ มอร์ฟีน และยาระงับประสาท ยาแก้แพ้ต่างๆ เพราะจะทำให้อาการสับสนจากอาการจากงูพิษทางระบบประสาท
• อย่าเสียเวลาลองยากลางบ้าน หรือวิธีรักษาแบบอื่นๆ
• ควรรีบนำผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลที่มีเซรุ่มโดยเร็วที่สุด