วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ทุกท่านคงเคยได้ยิน ได้ฟัง เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ แต่จะรู้จักมากน้อยแค่ไหน สงสัยว่าตนเองหรือญาติป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่ และจะทำอย่างไรต่อไป เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้สักหน่อยดีไหม
อัลไซเมอร์ เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะมีการเสื่อมของเซลล์สมองทุกส่วนเป็นแล้วไม่มีวันหาย ผู้ป่วยจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่สามารถแยกทุกผิด มีปัญหาในเรื่องการใช้ภาษา การประสานงานของกล้ามเนื้อเสียไป ความจำเสื่อม ในระยะท้ายของโรคจะสูญเสียความจำทั้งหมด  ในสหรัฐประมาณว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้กว่า3-4 ล้านคน และจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก เนื่องจากประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4 % ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากขึ้น กล่าวคือจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปี หลังอายุ 60 ปี
แม้ว่าโรคนี้จะไม่สามารถป้องกัน และไม่สามารถรักษา ญาติสามารถช่วยผู้ป่วยโดยการศึกษาโรคนี้และช่วยผู้ป่วยอย่างถูกวิธี
สาเหตุของโรค 
  1. จากความผิดปกติในเนื้อสมองจะพบลักษณะที่สำคัญสองอย่างคือกลุ่มใยประสาทที่พันกัน Neurofibrillary Tangles.และมีสาร Beta Amyloid ในสมอง ใยสมองที่พันกันทำให้สารอาหารไม่สามารถไปเลี้ยงสมอง การที่สมองมีคราบ Beta Amyloid หุ้มทำระดับ acetylcholine สมองลดลงสาร acetylcholine จะมีส่วนสำคัญในเรื่องการเรียนรู้และความจำ
  2. การอักเสบ inflammatory สาร amyloid เมื่อสลายจะให้สารอนุมูลอิสระออกมา อนุมูลนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์สมอง
  3. กรรมพันธุ์ โรค Alzheimer ทีเกิด late onset จะมีการเพิ่มของ gene ที่ควบคุมการสร้าง apolipoprotein E4 (ApoE 4) ส่วนที่เกิด early onset จะมีการเปลี่ยนแปลงของ gene presenilin-1 (PS1) และ presenelin-2 (PS2)
      การนำสารกลูตาไธโอนมาฉีดเพื่อให้ผิวขาวไม่ว่าจะฉีดโดยคลินิกหรือร้านเสริม ความงาม ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังถือเป็นความผิดทางกฎหมาย เนื่องจากทาง อย.ไม่เคยขึ้นทะเบียนสารดังกล่าวในประเทศไทย และไม่ได้อนุญาตให้มีการนำเข้า ซึ่งหากพบจะถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา มีความผิดการโฆษณาเกินจริง มีโทษปรับถึง 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังเป็นการขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว เลขาธิการอย. กล่าวด้วยว่า สารกลูตาไธโอน หากเป็นชนิดรับประทาน กำหนดให้ทานได้ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วย แต่จากการสำรวจตามเว็บไซต์ที่มีการขายสารชนิดนี้โดยมุ่งให้ผิวขาวนั้น มีแนะนำให้รับประทานถึง 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดอาการแพ้ยาจนเป็นอันตรายได้

เลขาธิการอย.กล่าวด้วยว่า จะร่วมกับกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อดำเนินการกวาดล้างจับกุมผู้ ที่นำสารดังกล่าวมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจะดำเนินคดีสถานหนัก และหากพบว่าผู้ที่นำมาใช้เป็นแพทย์จะร้องเรียนไปยังแพทยสภาเพื่อให้ดำเนิน การเอาผิดทางจรรยาบรรณแพทย์ต่อไป


นายวินิตอัศวกิจวิรี ผู้อำนวยการกองควบคุมยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สารกลูตาไธโอนที่ใช้เป็นตัวยาฉีดเข้าร่างกายนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการขอขึ้นทะเบียนกับกองควบคุมยา หากแพทย์นำไปฉีดให้คนไข้ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แม้จะเป็นตัวยานำเข้าหรือลักลอบซื้อมาจากต่างประเทศก็ผิดกฎหมายทั้งสิ้น เพราะยังไม่ขึ้นทะเบียนกับ อย. การนำสารหรือยาที่ไม่ขึ้นทะเบียนรับรองถูกต้องมาฉีดให้คนไข้ อาจเป็นการทดลองยารูปแบบหนึ่งก็ได้ ขอเตือนให้ประชาชนระวัง อย่าหลงกับคำอ้างว่าผ่าน อย.แล้ว ส่วนที่อ้างว่าสารกลูตาไธโอนผ่านการรับรองจาก อย.นั้น ก็เป็นเพียงอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบกรดอะมิโน ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายเท่านั้น ไม่เคยอนุญาตให้เป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกายแต่อย่างใด




นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดก่อน ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ในขณะนี้ว่า จะเอาผิดกับแพทย์ที่นำสารดังกล่าวมาใช้อย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมามียาหลายชนิดที่แพทย์นำผลข้างเคียงมาใช้กับผู้ป่วย อย่างเช่น ยาแก้แพ้ ก็มีการสั่งนำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการคันตามร่างกายเพื่อให้ผู้ป่วยหลับ และไม่คัน ขณะที่ศ.นพ.นิวัติ พลนิกร ประธานวิชาการสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ให้ข้อมูลว่า สารกลูตาไธโอนมีเพื่อรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ปกติแพทย์จะใช้ในปริมาณเพียง 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง แต่กลุ่มคลินิกเสริมความงามได้นำมาใช้เป็นสารผสมกับวิตามินซี เพื่อฉีดให้ผิวขาวขึ้น โดยจะใช้สารกลูตาไธโอนสูงถึง 600-1,000 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดดำโดยตรง ซึ่งมากกว่าปกติ 3-5 เท่า


ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องใช้ปริมาณมากขนาดนั้น ก็เพื่อให้ได้ผลและเห็นผลรวดเร็วว่าผิวดูขาวขึ้นจริง ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก อยากเตือนให้แพทย์ด้านศัลยกรรมความงามเลิกใช้สารกลูตาไธโอนฉีดให้วัยรุ่น เพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ขาวขึ้น เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากผู้ป่วยเกิดอาการแพ้รุนแรงหรือช็อกเสียชีวิต จะสร้างความเสียหายให้แก่แพทย์ที่ฉีดเอง




วันเดียวกันผู้สื่อข่าว ได้ออกสำรวจคลินิกเสริมความงามย่านสยามสแควร์ แหล่งรวมวัยรุ่น พบว่าคลินิกชื่อดังหลายแห่งล้วนมีโปรแกรมฉีดสารกลูตาไธโอน โดยอ้างว่าเป็นการ "ฉีดดีท็อกซ์หน้าขาว ตัวขาว" สนนราคาเข็มละ 1,600-4,000 บาท และต้องฉีดอย่างน้อย 3-5 เข็ม แล้วแต่สีผิวของลูกค้า พร้อมกับอ้างสรรพคุณว่า จะทำให้ผิวทั่วเรือนร่างขาวกระจ่าง สดใส ไร้รอยด่างดำ โดยเฉพาะผิวใต้วงแขน ริมฝีปาก ตลอดจนทำให้หัวนมขาวอมชมพู


ยิ่งไปกว่านั้นคลินิกเสริมความงามชื่อดังที่มีหลายสาขาแห่งหนึ่งอ้างว่า การฉีดสารกลูตาไธโอนเป็นการดีท็อกซ์หรือฟื้นฟูร่างกาย ทำให้มีรังสีออร่าทั่วเรือนร่าง และผิวจะขาวขึ้นเหมือนดารา เมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปสอบถามรายละเอียด เจ้าหน้าที่ประจำคลินิกให้ข้อมูลว่า ต้องฉีดอย่างน้อย 5 เข็ม ถึงจะเห็นผล และต้องฉีดทั้งหมด 10 เข็ม รวมเป็นเงิน 3 หมื่นบาทต่อคอร์ส พร้อมกับรับรองว่า แค่ฉีดเพียงเข็มแรกก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิว ซึ่งจะมีสีขาวขึ้น แต่ต้องมาฉีดทุกสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 10 สัปดาห์


เจ้าหน้าที่คลินิกชื่อดังบอกด้วยว่าตอนนี้โปรแกรมฉีดดีท็อกซ์ผิวขาว หรือฉีดสารกลูตาไธโอนผสมกับวิตามินซี กำลังเป็นที่นิยมของลูกค้าวัยรุ่นอย่างมาก โดยตัวยาที่สั่งซื้อจากเยอรมนีได้ฉีดให้ลูกค้าหมดแล้วภายในหนึ่งสัปดาห์ หากต้องการฉีดต้องรออย่างน้อย 3 วัน จนกว่าตัวยาชุดใหม่ที่สั่งซื้อจะมาถึง ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่คลินิกเลเซอร์ด้านความงามอีกแห่ง บอกว่า หากต้องการเห็นผลเร็วสามารถฉีดได้เลย 2 เข็มพร้อมกัน ราคาเข็มละ 2,200 บาท


ด้านแพทย์ประจำคลินิกศัลยกรรมชื่อดังอีกแห่งหนึ่งอ้างว่า การฉีดสารกลูตาไธโอนเป็นเหมือนการฉีดโปรตีนเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือด ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย นอกจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด ความดัน หรือโรคหัวใจ หากฉีดประมาณ 5 เข็ม จะช่วยให้ผิวขาวใสได้ยาวนานถึง 6 เดือน แต่ต้องมีการดูแลรักษาผิวโดยทาโลชั่นเพิ่มเติม ตอนนี้วัยรุ่นกำลังฮิตมาก มาฉีดวันละหลายราย ส่วนลูกค้าใหม่ที่มาลองฉีดเข็มแรกแล้วเห็นผลก็มาขอฉีดซ้ำอีก


นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังตรวจสอบตามเว็บไซต์ซื้อขายสินค้า พบว่าหลายเว็บไซต์มีผู้นำสารกลูตาไธโอนในลักษณะของยาฉีดมาประกาศขาย อ้างว่านำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ เช่น เยอรมนี อิตาลี โดยตั้งราคาขายชุดละ 3,800 บาท ซึ่งชุดหนึ่งจะมีสารกลูตาไธโอน 600 มิลลิกรัม 10 หลอด นอกจากนี้ยังมีผู้มาประกาศขอซื้อสารกลูตาไธโอนที่มีปริมาณหลอดละ 3,000 มิลลิกรัมด้วย โดยอ้างว่าซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง "ไมเคิล แจ็กสัน" ได้ฉีดในปริมาณสูงถึง 3,000 มิลลิกรัม อย่างต่อเนื่อง

12 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง


วิธีทําให้ผิวขาว

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
         
          ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

          อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู  12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

            1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

           2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

           3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่ จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

           4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

           5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

           6. ครีมกันแดด ควร เป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

           7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดย ให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะ การออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

           9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

           10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

           11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้า ผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

           12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

           วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

           วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็น สูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

รู้จักกระบวนการสร้างเม็ดสี.. รู้จัก เมลานิน

สารเมลานิน (Melanin) หรือเม็ดสีสร้างจากเซลล์ผิวหนังที่เรียกว่าเมลาโนโชต์ (melanocyte) เป็นเซลล์ที่เจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท ซึ่งแทรกตัวอยู่ในชั้นหนังกำพร้าส่วนล่างสุด โดยเซลล์เมลาโนไซต์หนึ่งเซลล์จะแตกแขนงเป็นร่างแหเล็กๆ ยื่นไปสัมผัสเซลล์ผิวหนังประมาณ 35 เซลล์ เมลานินทำหน้าที่กรองรังสีที่จะมาทำอันตรายเซลล์ผิวหนัง โดยมีความสามารถกรองรังสี UV ..ยิ่งถ้ามีการตากแดดมากเท่าไร เมลานินก็จะถูกสร้างขึ้นมากเท่านั้น โดยรังสี UVA ทำให้เกิดผิวสีแทน ฝ้า กระ เป็นสาเหตุเร่งการชราภาพของผิวหนัง ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น และ รังสี UVB ทำให้ผิวไหม้ และเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง

ลักษณะการสร้างเม็ดสีผิวของ เมลานิน



เมื่อเรารู้จักเมลานินกันแล้ว..เราก็คงรู้กันแล้วนะค่ะ ว่าถ้าเราสามารถป้องกันกระบวนการเกิดเม็ดสีเมลานิลได้มากเท่าไหร่ เราก็มีโอกาส ผิวขาว หน้าใส ค่ะ....

นวัตกรรมการดูแลผิวขาว หน้าใส ให้ครบวงจร ตั้งแต่ผิวหน้าจนถึงผิวกายด้วย
K-SKINCARE WHITENING SET AND WHITENING BODY

เพื่อตอบสนองความต้องการของคนที่อยาก ผิวขาว หน้าใส แบบครบวงจรตั้งแต่ผิวหน้า จนถึงผิวกาย ที่ใครหลายๆคน ได้ลองแล้วต้องติดใจในผลลัพธ์ ซึ่ง เป็นการรวบรวมสารสำคัญในการยับยังการสร้างเม็ดสี หลายๆตัวมารวมกันเพื่อผลลัพธ์ ที่รวดเร็ว และชัดเจน อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเน้นเป็น Glutathione สูตรเข้มข้นพิเศษ และผสานกับ Alpha Arbutin ที่ทำหน้าที่เป็นอย่างดีในยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และ Ascorbyl tetraisopalmitate เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซี ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว และเร่งการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระจ่างใส และกระชับขึ้น ซึ่งสกัดจากดอกบัว ยังช่วยลดอุณหภูมิของผิวทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น และยังร่วมกับสารอื่นๆที่อุดมไปด้วยสารสำคัญที่ทำหน้าที่ยับยั้งตั้งแต่ต้น เหตุของการเกิดเม็ดสีเมลานินที่เกิดจากมลภาวะภายนอก จนถึงภายในระดับเซลล์ และผสานการทำงานด้วย Peptide peeling เลียนแบบการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติให้เร็วขึ้น พร้อมเสริมประสิทธิภาพตัวนำพาสารเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยลดเลือนรอยหมองคล้ำทำให้ผิวหน้าแลดูขาว กระจ่างใส อย่างครบวงจร พร้อมปรับสภาพให้สีผิวสม่ำเสมอทั่วใบหน้า อย่างอ่อนโยนและปลอดภัย*

1. Alpha Arbutin ( อัลฟ่าอาร์บูติน )

เป็นอนุพันธุ์สารสกัดจากต้นเบียร์เบอร์รี่ มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน สามารถปรับสีผิวให้แลดูขาวสดใสได้ในเวลาอันรวดเร็ว ลดฝ้า กระ และรอยคล้ำรอยด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Dermawhite:

สารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเพิ่มการทำงานที่มีผลต่อเมลานิน ทำให้การสร้างเม็ดสีผิวน้อยลง ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ลดการเกาะกลุ่มของเม็ดสีบริเวณผิวหน้าที่มากเกินไป โดยมีกลไกยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส และยังมีคุณสมบัติเป็น Chelating agent ในการจับกับทองแดง ซึ่งเป็นโคเอนไซม์หลักที่ช่วยให้เอนไซม์ไทโรซิเนสทำงาน จึงมีผลให้ไทโรซิเนสทำงานได้น้อยลง เป็นผลให้ฝ้า กระ จุดด่างดำลดเลือน นอกจากนั้นยังมีสารช่วยกระตุ้นการหลุดลอกของเซลล์ผิวเสื่อมสภาพอย่างอ่อนโยน จึงเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวขาวสดใสและยังช่วยชะลอความแก่ได้ดีด้วย

3. ODA white:

นวัตกรรมสารออกฤทธิ์ จากการผสมผสานผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและ Oleic acid ของพืชผัก ผ่านกระบวนการ Biofermentation จนได้เป็น Octadecenedioic Acid สารมหัศจรรย์ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ระดับดีเอ็นเอของผิว โดยจำลองตัวเองเลียนแบบ Ligand เข้าจับกับ PPAR ที่นิวเคลียสของเมลาโนไซด์ ทำให้ไม่เกิดการถอดรหัส (transcription) ของยีนส์ ยับยั้งการเกิด mRNA Tyrosinase ที่ต้องสังเคราะห์เป็น tyrosinase


เอนไซม์สำคัญที่ทำให้เกิดการสร้างและการสะสมเม็ดสีเมลานิน ต้นเหตุสำคัญของฝ้า กระ จึงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง

4. Sulforawhite


Sulforawhite เป็นการนำสารสกัดที่ได้จาก swiss garden cress sprout เป็น phytonutrient ที่มีคุณสมบัติเป็น Anti-oxidant ที่มี ประสิทธิภาพสูง โดยเน้นแก้ปัญหาของกลไกการเกิด melanin อย่างตรงจุด โดยมีกระบวนการที่สำคัญ 2 กระบวนการหลัก คือ
- ROS neutralization (ช่วย Balance ประจุของ Reactive Oxygen species ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์)
- ยับยั้ง Alpha-MSH เป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติ ซึ่งไปกระตุ้นการเกิดเม็ดสีในผิว

ในการศึกษากับอาสาสมัครชาวเอเชียจำนวน 21 คน พบว่า sulforawhite มีผลทำให้สีผิวสว่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนเป็นนัยสำคัญ ซึ่งในสูตร emulsion ที่มีปริมาณ 2% sulforawhite ใช้ 2 ครั้งต่อวันที่ท้องแขนด้านใน เป็นระยะเวลา 56 วันและได้ทำการเปรียบเทียบกับ placebo
มติชน 6 มิถุนายน 2555
เรื่องความสวยความงามทุกวันนี้ มีนวัตกรรมใหม่ๆ มา "เสก" ให้ผู้หญิงสวยได้ในพริบตา อย่าง "ไหมละลาย" เทรนด์ใหม่ที่อิมพอร์ตมาจากเกาหลี ก็กำลังเป็นที่นิยมของสาวๆ ในปัจจุบัน

แต่ถึงอย่างนั้น อะไรที่เกิดจากการปรุงแต่ง อาจจะมีข้อดี ข้อเสีย ที่สาวๆ วางเฉยไม่ได้ ควรต้องพิจารณามาตรฐานในการทำ ดูให้รอบด้าน เพราะอยากสวย จริงๆ แล้วก็ต้องเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้น ผู้หญิงยุคใหม่จำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดอย่างรู้เท่าทัน!!

นพ.วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แห่งเฮอร์ทิจูดคลินิก อธิบายว่า การร้อยไหมละลาย ใต้ผิวหน้าเพื่อความกระชับเต่งตึง ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ เนื่องจากเพิ่งผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทยมาหมาดๆ สามารถทำได้ตั้งแต่คนอายุ 20-30 ปี หรือผู้สูงอายุก็สามารถทำได้

"หลายคนคิดถึงคนแก่เป็นหลัก แต่ผมอยากบอกว่าคนอายุน้อย 20-30 ปีก็ทำได้ สาวเกาหลีนิยมทำให้หน้าเรียวขึ้นเป็นวี เชฟ แต่ต้องเป็นกรณีที่เหมาะสม คนที่จะยกกระชับหน้าให้เรียวด้วยไหมละลายต้องเป็นคนที่มีแก้ม แบบหยิกแก้มแล้วแก้มยุ้ยจังเลย แก้มกลมๆ ยกกระชับแล้วหน้าจะเรียวสวยมาก แต่ถ้าแก้มตอบ ตรงนี้กระดูก ตรงนั้นก็กระดูก ตรงโน้นก็กล้ามเนื้อ ยกกระชับด้วยไหมละลายจะไม่ค่อยเห็นผล


"ส่วนคนที่อายุ 40 ปีขึ้น เริ่มมีร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก มุมปากตก ทำให้ดูแก่ หรือบางคนที่เริ่มมีคางสองชั้นห้อยลงมา มีเหนียง หรือคิ้วเริ่มตก เห็นตาสองชั้นไม่ชัดเจน หางตาตก หรือคนที่มีรอยหางตา แต่ไม่อยากฉีดโบท็อกซ์ ก็มาใช้วิธีร้อยไหมละลายเพื่อช่วยลดรอยได้"

นพ.วรพจน์บอกอีกว่า พอพูดถึงร้อยหน้าด้วยไหม หลายคนนึกถึงการร้อยทอง จริงๆ แล้วการร้อยไหมเป็นนวัตกรรมใหม่กว่า ช่วยยกกระชับหน้าด้วยเส้นด้ายที่ใช้เย็บเวลาผ่าตัด ซึ่งพอครบเวลากำหนดจะละลายหายไปจากร่างกายเอง โดยไม่ต้องตัดไหม เหมือนตอนผู้หญิงผ่าคลอด คุณหมอจะเย็บไหมละลายให้ ไม่ต้องตัดไหม ไหมจะละลายไปเอง ไม่มีรอยข้างนอกเลย

สำหรับปัญหาที่มักพบ ทั้ง "บวม-ฟกช้ำ-หน้าสองข้างไม่เท่ากัน"

คุณหมอคนเก่งอธิบายว่า หลังทำอาจมีอาการ หนึ่ง-บวม เนื่องจากมีการใช้เข็มร้อยเข้าไป หน้าก็จะบวมเล็กน้อย สองสามวันก็หาย สอง-อาจมีบางจุดเป็นรอยเขียวช้ำได้ แต่ก็เล็กน้อย สามารถใช้รองพื้นกลบได้ทันทีหลังทำ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนที่กินยาอาหารเสริม เช่น แอสไพริน, น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส, น้ำมันปลา, แปะก๊วย, วิตามินอี ฯลฯ ทำให้เลือดหยุดไหลช้า จึงเกิดอาการฟกช้ำง่าย

"ปัญหาที่พบมักเป็นเรื่องทำแล้วผิวหน้าสองข้างไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่เกิดจากคนไข้ที่หน้าไม่เท่ากันแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีแก้มสองข้างไม่เท่ากัน เมื่อร้อยไหมละลายเข้าไปแล้ว ผลลัพธ์ออกมาก็ไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม หลังจากทำไปแล้ว 1 เดือน ปกติคุณหมอจะนัดคนไข้ตรวจเพื่อเก็บตกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจยังไม่เพอร์เฟ็กต์ หมอจะร้อยไหมเพิ่มเติมให้"

นอกจากการใช้ไหมละลายแล้ว ยังต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการยอมรับ อย่างคุณหมอเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จาก Obagi Medical ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกามาเกือบ 30 ปี เป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ที่แพทย์เป็นผู้แนะนำและเลือกใช้ในการรักษา โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มดูแลสุขภาพผิว เน้นการป้องกัน และ/หรือการแก้ไขสภาพผิวจากปัญหาต่างๆ

แม้จะใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีแค่ไหน แต่คุณหมอหนุ่ม แห่งเฮอร์ทิจูดคลินิก ก็ย้ำว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับความสวยความงามคือ

การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เช่น การรับประทานอาหาร การพักผ่อนเพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injections) สารสกัดจาก Hyaluronan ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่อยู่ในชั้นผิวหนังของเรา จึงไม่ใช่สารแปลกปลอมที่จะเป็นอันตราย และจะสลายตัวไปตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป การฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injections) จึงมีความปลอดภัยสูง

Filler จะเข้าไปทดแทนคอลลาเจนและ Hyaluronanใต้ผิวที่เสื่อมสลายไป คืนความชุ่มชื้นให้ผิวยืดหยุ่น กระชับ ริ้วรอยจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา โดย Filler แต่ละรูปแบบจะมีประสิทธิภาพในการลบริ้วรอยที่ต่างกัน

- Filler Fineline ใช้สำหรับลบริ้วรอยตื้นๆ บนใบหน้า

- Filler มาตรฐาน ทำให้รอยแผลจากสิวตื้นขึ้น และลบรอยเหี่ยวย่น อาทิ ร่องแก้ม หน้าผาก และรอบริมฝีปาก

- Filler Plus ใช้กับริ้วรอยลึก เติมริมฝีปากให้เต็มอิ่ม และกระชับผิวที่หย่อนยานให้โครงหน้าเพรียวได้รูป

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจวิเคราะห์ผิวของคุณก่อนเลือกใช้ Filler รูปแบบที่เหมาะสม รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการฉีดที่จะได้ผลดีที่สุดสำหรับคุณ





มารู้จักโบท็อกซ์ (BOTOX) กับแพทยสภา (รศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์)



 
โบท็อกซ์ คืออะไร?         "โบ ท็อกซ์" (Botox) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ หากได้รับในปริมาณมากๆ เช่น จากอาหารกระป๋องที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อตัวนี้ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้  จากการที่กล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน  ผู้ป่วยจึงหยุดหายใจ 

 โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์ อย่างไร?
         โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เกิด อัมพาตของกล้ามเนื้อเล็กๆนั้น  โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 7– 14 วัน 

 แล้วแพทย์เอา "สารพิษ" นี้มาใช้ทำไม?         แพทย์ทราบมานานหลายสิบปีแล้วว่าหากฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อในปริมาณน้อยๆ โบทูลินั่ม ท็อกซินจะทำให้กล้ามเนื้อ "คลายตัว" ดังนั้นในยุคแรกๆ จักษุแพทย์จึงนำโบทูลินั่ม ท็อกซิน มาฉีดรักษาโรคตาเหล่  ตาเข และโดยบังเอิญจากการฉีดรักษาในบริเวณรอบดวงตานี้เอง ก็ทำให้แพทย์พบว่าริ้ว รอยบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากหว่างคิ้วและรอบดวงตาดีขึ้นด้วย

         ในยุคต่อมาจึงมีการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อประโยชน์ในด้านความสวยงามตามมาอย่างแพร่หลาย และมีเทคนิควิธีการที่ ต่างๆ กันออกไป มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้หน้าเรียวลง  ยกกระชับผิวหนัง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ตลอดจนรักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเกร็งต้นคอ และอีกหลายกรณี ในประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีการฉีดกันเป็น ล้านๆครั้ง ต่อปี

 ผลของการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน อยู่นานเท่าใด?
         โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าฉีดรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด  ฉีดเป็นครั้งแรกหรือเป็นการฉีดซ้ำ  ผู้รับการรักษาอายุเท่าใด ซึ่งการที่ผลการรักษาอยู่ไม่ถาวรนั้น ที่จริงอาจนับได้ว่าเป็นข้อดี เพราะหากผลที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจ ในที่สุดก็จะค่อยๆ หายไปเองได้ ข้อเสียก็คือสิ้นเปลือง เพราะหากได้ผลดี  ถูกใจก็ต้องฉีดซ้ำเรื่อยๆ

 โบท็อกซ์ อันตรายหรือไม่
         จากการรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จำนวนมาก ในต่างประเทศ พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต  เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อความสวยงาม

         ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก  กลืนอาหารลำบาก  หน้าไม่สมมาตร  หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด  ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง

 เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วจะทำอย่างไร?         ดังที่ได้กล่าวแล้วตอนต้นว่าผลจากการฉีด โบทูลินั่มท็อกซิน นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาจึงใจเย็นๆ และค่อยๆ รอให้ผลของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน หมดไปเองก็ได้  ส่วนในกรณีที่เกิดหนังตาตกนั้น ผู้รับการรักษาควรปรึกษา
แพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นกรณีไป
เป็นโรคตับจะปฏิบัติตัวอย่างไรดี

สุขภาพใจ สุขภาพจิต
โรคหัวใจ
เบาหวาน
โรคมะเร็งโคเลสเตอรอล
ไต
สุภาพสตรี
ผู้สูงอายุ
กระดูกและข้อ
สารอาหารฟัน
โรคอ้วน
เฉพาะด้านอื่นๆ



คำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นโรคตับมักจะถามแพทย์เสมอ นอกจากทานยาตามที่แพทย์สั่งสม่ำเสมอแล้ว ความจริงคำว่าโรคตับมีความหมายค่อนข้างกว้าง อาจจะหมายถึงผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบบี ซึ่งสภาพตับโดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากคนปกติทั่วไปเท่าไรนัก ไปจนถึงผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง ซึ่งอาจจะมีอาการดีซ่าน บวม หรือท้องมานก็ได้ ซึ่งหมายถึงมีการเสื่อมสภาพของตับไปมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นตับแข็ง คงต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคตับเหล่านี้พอจะแบ่งออกได้เป็นหัวข้อสำคัญๆ 6 อ. คือ
1. อาหาร
สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับเพียงเล็กน้อย เช่น เป็นพาหะของเชื้อไวรัสบี ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลัน การรับประทานน้ำหวานมาก ๆ ไม่มีรายงานว่าทำให้การดำเนินของโรคดีขึ้นกว่าการไม่ได้รับประทานน้ำหวาน อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายไม่สามารถบริโภคอาหารได้ เนื่องจากมีคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ในกรณีเช่นนี้การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรทพวกแป้ง และน้ำตาล เป็นหลักจะทำให้ย่อยอาหารได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง สำหรับผู้ป่วย ซึ่งเริ่มมีอาการตับแข็งแล้ว อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่มีรสเค็มจัด เนื่องจากการรับประทานอาหารเค็มสามารถทำให้อาการบวม หรืออาการท้องมานเลวลงได้ โดยทั่วไปแล้วในผู้ป่วยที่มีอาการบวม หรือท้องมาน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้ไม่เกินวันละ 2 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณเศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวันเท่านั้น ผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สะอาดปรุงขึ้นใหม่ ไม่ควรรับประทานอาหารที่เก็บค้างคืน หรืออาหารที่ประกอบขึ้นสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น การลวก การย่าง เพราะบ่อยครั้งทีเดียวที่ผู้ป่วยโรคตับแข็งมาพบแพทย์ด้วยอาการติดเชื้อจากทางระบบทางเดินอาหาร ซึ่งบางครั้งสามารถเป็นรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยตับแข็งที่ไม่มีอาการซึม หรืออาการทางสมอง สามารถรับประทานโปรตีนได้ตามปกติเหมือนกับคนปกติทั่วไป ผู้ที่มีอาการทางสมองร่วมกับภาวะตับแข็ง ผู้ป่วยเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณโปรตีนที่ได้จากสัตว์ อย่างไรก็ตามสามารถเสริมโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนจากพืช หรือถั่ว เป็นต้น ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่เป็นผัก และผลไม้ให้เพียงพอเพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการภาวะท้องผูก การรับประทานอาหารเสริมที่เป็นโปรตีนที่มีกิ่ง (Branch Chains Amino Acid) อาจทำให้ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามอาหารเสริมดังกล่าวยังมีราคาแพง และทดแทนได้ด้วยการรับประทานโปรตีนจากพืช ปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่า อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีประโยชน์โดยแท้จริงกับผู้ป่วยโรคตับนอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้องร่วมกับพืช ผัก และผลไม้ที่สะอาดในปริมาณที่พอเพียงจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย การรับประทานอาหารเผ็ด หรือเปรี้ยวไม่มีผลเสียโดยตรงอย่างไรต่อตับ
2. แอลกอฮอล์
ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อาจจะพบรับประทานได้บ้าง แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีแบบเรื้อรัง มีหลักฐานชัดเจนพบว่าการรับประทานแอลกอฮอล์ มีส่วนสัมพันธ์โดยตรง ทำให้การดำเนินของโรคลุกลามเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการสูบบุหรี่จะไม่มีผลโดยตรงกับโรคตับ แต่การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อร่างกาย รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย นอกจากปอด ดังนั้น เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงควรจะงด และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วย
3. อัลฟาท๊อกซิน (Aflatoxin)
สารอัลฟาท๊อกซินเป็นสารที่สร้างจากเชื้อรา Aspergillus ซึ่งเป็นเชื้อราตระกูลเดียวกัลที่พบตามขนมปังที่เก็บไว้นาน ๆ นั่นเอง เชื้อรา Aspergillus บางตระกูลสามารถสร้างสารพิษที่เรียกว่า อัลฟาท๊อกซินขึ้น ซึ่งสารพิษนี้สามารถชักนำให้เกิดมะเร็งตับได้ เชื้อราชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในอาหารบางอย่าง ซึ่งเก็บอย่างไม่ถูกวิธี และมีความชื้น เช่น ถั่ว พรกป่น ข้าวโพด ข้าวสารเป็นต้น การศึกษาจากประเทศจีนตอนใต้พบว่า อุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งตับในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบแบบบีเรื้อรัง ในหมู่บ้านที่มีสารอัลฟาท๊อกซินปนเปื้อนในอาหารสูงกว่ากลุ่มประชากรที่เป็นตับอักเสบบีแบบเรื้องรัง ที่บริโภคอาหารที่ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยสารอัลฟาท๊อกซินอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคตับจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารดังที่กล่าวมาแล้ว
4. อารมณ์ และการพักผ่อน
บ่อยครั้งทีเดียวทีแพทย์พบผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง หรือเป็นโรคตับแข็งที่มีอาการทั่วไปสบายดีมาตลอด แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือตรากตรำงานมากเกินไป ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงมีส่วนชักนำให้ตับอักเสบเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการดีซ่าน หรือบางครั้งรุนแรงจนเกิดภาวะตับวายเกิดขึ้นได้ นอกจากการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว การมีจิตใจที่เบิกบานแจ่มใสก็มีความสำคัญทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย
5. ออกกำลัง
ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง และมีอาการที่บ่งว่ามีสภาพการทำงานของตับเหลืออยู่น้อย เช่น ดีซ่าน ท้องมาน ผู้ป่วยเหล่านี้ควรงดออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการเดิน หรือนั่งนาน ๆ ผู้ป่วยที่มีประวัติเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร ไม่ควรออกกำลังที่จะต้องเบ่ง หรือเกร็งกล้ามเนื้อท้อง เข่น การยกน้ำหนัก เนื่องจากจะกระตุ้นให้ความดันเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตกได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นตับแข็งในระยะเริ่มต้นที่ไม่มีอาการผิดปกติสามารถออกกำลังได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหม เช่น การวิ่งมาราธอน หรือกีฬาที่ต้องแข่งขัน การออกกำลัง เข่น การเดิน วิ่งเบา ๆ ดูจะเป็นการออกกำลังที่เหมาะสม
6. อัลฟาฟีโตโปรตีน
(Alpha feto-protein) เป็นสารซึ่งสร้างขึ้นโดยเซลล์ตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ตับ เราพบสาร Alpa feto-protein สูงขึ้นในเด็กแรกเกิด อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยซึ่งเป็นมะเร็งตับอาจมีการเพิ่มขึ้นของ Alpha feto-protein ซึ่งใช้เป็นเครื่องแจ้งเตือนมะเร็งของตับได้ ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ตลอดจนผู้ที่เป็นตับแข็ง ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ถือว่าเป็นประชากรที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งของตับได้ทั้งสิ้น การตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น สามารถให้การรักษาที่เหมาะสม และมีโอกาสหายขาดได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับควรมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแพย์นัด และตรวจ Alpha feto-protien ตามที่แพทย์เห็นสมควร
การรับประทานยาในผู้ป่วยโรคตับเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง
เนื่องจากยาหลายชนิดต้องถูกกำจัด โดยผ่านตับการที่ตับมีการทำงานบกพร่อง เนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง อาจทำให้มีการสะสมของยาจนเกิดโทษได้ ท่านควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่าท่านมีปัญหาโรคตับ เพื่อแพทย์จะได้เลือก ยาที่ปลอดภัยให้ หรือถ้าสงสัยอาจปรึกษาแพทย์ เฉพาะทางดูก่อน ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งไม่ควรรับประทานยาลดไข้พวก paracetamol เกินกว่าวันละ 1500 mg หรือทานติดต่อกันนานเกิน 3 วัน อย่างไรก็ตามในผู้ที่เป็นตับอักเสบเล็กน้อย หรือพาหะของตับอักเสบบี สามารถทาน paracetamol ได้ในขนาดปกติ สำหรับยาแก้ปวดนั้นผู้ที่เป็นตับแข็งควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวด พวกที่เป็นแอสไพรินทั้งหลาย เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงใตลดลงจนอาจทำให้มีการเสื่อมหน้าที่ของไต หรือไตวายได้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาแก้ปวดกลุ่มอื่นแทน
ถึงแม้ว่าจะมีพืช อาหาร และสมุนไพรหลายอย่างที่อ้างว่ามีสรรพคุณป้องกันการเกิด และรักษาโรคตับได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ดีเพียงพอที่จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทาน นอกจากนั้นสมุนไพรบางตัวอาจมีผลข้างเคียงต่อตับได้ เช่น บอระเพ็ด ใบขี้เหล็ก จึงควรระมัดระวัง
Osteoporosis โรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนหมายถึงภาวะที่กะดูกมีเนื้อกรดูกลดลง เนื่องจากแร่แคลเซี่ยมในกระดูกลดลง ทำให้กระดูกพรุนทำให้หลังโก่ง และกระดูกหักง่าย
ปกติกระดูกของคนจะมีความแข็งเหมือนหิน หรือเหล็กเพื่อเป็นปกนหลังให้อวัยวะต่างๆยึดเกาะ กระดูกของคนประกอบไปด้วยโปรตีน collagen ซึ่งสร้างโยงเป็นใย โดยมีเกลือ calcium phosphate เป็นสารที่ทำให้กระดูกแข็งแรง และทนต่อแรงดึงรั้ง เกลือแคลเซี่ยมจะอยู่ในกระดูกร้อยละ 99 และอยู่ในเลือดร้อยละ 1
ปกติกระดูกของคนจะมีการสร้าง และการสลายอยู่ตลอดเวลา ในเด็กจะมีการสร้างมากกว่าการสลาย ทำให้กระดูกของเด็กมีการเจริญเติบโต และแข็งแรง กระดูกจะใหญ่ขึ้นจนกระทั่งอายุ 30 ปี กระดูกจะเริ่มมีการสลายมากกว่าการสร้างทำให้เนื้อกระดูกเริ่มลดลง ในวัยทองระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้อัตราการสลายของกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เนื้อกระดูกลดลงเกิดภาวะกระดูกพรุน
กระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อกระดูกหักโดยเแพาะกระดูกสะโพก กระดูกพรุนมักจะเกิดในหญิงมากกว่าชายด้วยเหตุผล 2 ประการ
  • ความหนาแน่ของมาลกระดูกผู้ชายสูงกว่าผู้หญิง
  • เมื่อเข้าสู่วัยทองระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วทำให้เนื้อกระดูกลดลงอย่างรวดเร็ว
กระดูกพรุนคืออะไรOsteoporosis bone has less calcium and is much weeker.
โรคกระดูกพรุนหมายถึงภาวะที่กระดูกสูญเสียเนื้อกระดูก และโครงสร้างของกระดูกผิดไป ทำให้กระดูกมีความเปราะบาง เกิดการหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกข้อสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ เนื้อกระดูกจะมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นมากกว่าชาย และสามารถป้องกันได้
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน การวินิจฉัยและการรักษา การป้องกันกระดูกพรุน การออกกำลังกายเพื่อลดการเกิดกระดูกพรุน ข้อปฏิบัติเมื่อเวลายืนนานๆ
ปัญหาเกี่ยวกับสายตาผิดปกติ (Eye problem Recognition)
            สาย ตาปกติ เป็นผลของการที่แสงโฟกัสผ่านกระจกตา (Cornea) และเลนส์แก้วตา (Crystalline Lens) ลงพอดีที่จอประสาทตา (Retina) ทำให้ภาพที่เรามองเห็นมีความคมชัด ถ้ากำลังการรวมแสง (Refractive power) ของตาไม่พอดีกับความยาวลูกตา เป็นผลให้การ รวมแสงของตาตกไม่พอดีที่จอประสาทตา เกิดภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive errors หรือ Ametropia) ซึ่งอาจแยกประเภทได้ดังนี้

            1. สายตาสั้น (Near-sightedness หรือ Myopia) สาย ตาสั้นเกิดจากกำลังการรวมแสงของตามากเกินไป เมื่อเทียบกับความยาวของลูกตา อาจเกิดจากการที่กระจกตาโค้งมากเกินไป หรือขนาดลูกตายาวเกินไป เมื่อมองวัตถุที่อยู่ไกล แสงรวมก่อนถึงจอประสาทตา ทำให้มองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลไม่ชัดเจน ในทางตรงกันข้าม แสงจากวัตถุที่อยู่ใกล้รวมใกล้จอประสาทตา ทำให้มองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้ชัดเจนกว่า ผู้ที่มีสายตาสั้นสามารถมองใกล้ได้ชัดกว่ามองไกล การแก้ไขปัญหา สายตาสั้น สามารถทำได้โดยใช้เลนส์เว้าช่วยลดกำลังการรวมแสงที่มีมากเกินไปเพื่อให้สามารถมองไกลได้ดี

            ระดับความสั้นของสายตา แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ
ระดับความสั้นของสายตา
ค่าสายตาสั้น+เอียง
1. กลุ่มสายตาสั้นระดับต่ำ สั้น  600   หรือน้อยกว่า
2. กลุ่มสายตาสั้นระดับปานกลาง สั้น  600   ถึง   1000
3. กลุ่มสายตาสั้นระดับสูง สั้นมากกว่า  1000

สายตาสั้น
สายตาสั้น (Near-sightedness หรือ Myopia)

            2. สายตายาวโดยกำเนิด (Far-sightedness, Hypermetropia  หรือ Hyperopia) สาย ตายาวโดยกำเนิด เกิดจากกำลังการรวมแสงของตาน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับความยาวของลูกตา อาจเกิดจากการที่กระจกตาแบนเกินไป หรือขนาดลูกตาสั้นไป แสงถึงจอประสาทตาก่อนรวมเป็นจุด ภาพจะไม่ชัดทั้งใกล้และไกล ผู้ที่มีสายตายาวโดยกำเนิดเล็กน้อยสามารถมองไกลได้ดี แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น หรือมีการเพ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะหรือตาล้าได้ และสูญเสียการมองไกลทำให้มองไกลไม่ชัดเจน การแก้ไขภาวะสายตายาวโดยกำเนิด สามารถทำได้โดยใช้เลนส์นูนเพิ่มกำลังการรวมแสงเพื่อให้สามารถมองเห็นได้ดี
สายตายาวโดยกำเนิด
สายตายาวโดยกำเนิด (Far-sightedness, Hypermetropia หรือ Hyperopia)

            3. สายตาเอียง (Astigmatism) สาย ตาเอียงเกิดจากกำลังการรวมแสงของตาในแนวต่างๆ ไม่เท่ากัน มักเกิดจากกระจกตาไม่กลม เปรียบได้กับผิวความโค้งด้านข้างของไข่ไก่ หรือลูกฟุตบอล ภาวะนี้มักเกิดร่วมกับภาวะสายตาสั้นหรือยาวโดยกำเนิด ทำให้เห็นภาพซ้อน ผู้ที่มีสายตาสั้นร่วมกับสายตาเอียง จะยังคงมองใกล้ได้ดีกว่ามองไกล แต่ภาพที่เห็นจะไม่ชัดเจนแม้ว่าจะใกล้ก็ตาม การแก้ไขสายตาเอียงโดยการใช้แว่นสายตา จะต้องใช้เลนส์ชนิดพิเศษเรียกว่า cylindrical lens เพื่อใช้ปรับกำลังการรวมแสงที่แตกต่างกันในระยะใกล้และไกล
สายตาเอียง
สายตาเอียง (Astigmatism)
            4. สายตายาวตามอายุ (Presbyopia) เมื่อ มีอายุ 38 ปี คนทั่วไปซึ่งเคยมองเห็นได้ดีทั้งใกล้และไกล โดยไม่ต้องใช้แว่น จะเริ่มสังเกตว่าการมองใกล้เริ่มเป็นปัญหา สายตายาวตามอายุ เกิดจากความเสื่อมของกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการมองใกล้ ซึ่งต่างจากสายตายาวโดยกำเนิดตรงที่ สายตายาวตามอายุจะมีปัญหาในการมองใกล้เท่านั้น ส่วนสายตายาวโดยกำเนิดจะมีปัญหาทั้งการมองใกล้และมองไกล เพราะฉะนั้นผู้ที่มีทั้งสายตายาวโดยกำเนิดและสายตายาวตามอายุจำเป็นต้องใช้ แว่นเพื่อใช้มองทั้งใกล้และไกล
สายตายาวตามอายุ
สายตายาวตามอายุ (Presbyopia)

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

การวินิจฉัยมนุษย์จากหน้าผาก เส้นผม และหนวด
แต่โบราณมา ผู้คนคิดว่าคนหน้าผากกว้างและสูง คือคนมีปัญญาอันเฉียบแหลม ฝ่ายคนที่มีหน้าผากสม่ำเสมอกันคือคนฉลาด หากจะกล่าวให้ถูกต้อง เราสามารถกล่าวว่า สามารถอ่านกำลังแห่งความเข้าใจของคนๆ หนึ่ง จากความสูงและต่ำของหน้าผาก และสามารถอ่านกำลังแห่งการสังเกตของคนๆ หนึ่ง จากความกว้างและแคบของหน้าผาก.
หน้าผากและเส้นผมมีความเกี่ยวพันกันอย่งใกล้ชิด คำโบราณกล่าวไว้ว่า คนผมดกไม่ใชอัครมหาเสนาบดี คนหัวล้านไม่ใช่นักรบที่เข็มแข็ง จะเห็นได้ว่า เส้นผมหนาเกินไป หรือบางเกินไปต่างมีความกระทบต่อการตั้งตัวอยู่ในสังคมของคนๆ หนึ่ง สำหรับเส้นผมยังแสดงให้เห็นถึงสุขภาพร่างกายของคนๆ หนึ่ง.
"หนวด" มีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่มีหนวด มันก็มีความเกี่ยวพันกับเส้นผม มันคือ ข้อมูลซึ่งขาดไม่ได้สำหรับการวินิจฉัยนิสัย และชะตาชีวิต

1
หน้าผากมีรอยย่นลักษณะกากบาท
แสดงว่ามักจะเข้าเกี่ยวพันกับเรื่องอุบัติเหตุได้ง่าย
2
หนวดเคราดก
เป็นคนผาดโผน ใจกล้า มีความขะมักเขม้น
3
เส้นผมแข็ง
เป็นคนตรงไปตรงมา มีความโอบอ้อมอารี เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แต่ดื้อรั้น ไม่ยอมลดหย่อนผ่อนผันแม้แต่น้อย
4
ผมยาวแลดูสวยงาม
มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว จิตใจแน่วแน่
5
หน้าผากส่วนบนยื่นออก
แสดงว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ใจคอกว้างขวาง
6
เส้นผมมีสีอ่อน
ร่างกายไม่สู้แข็งแรง แต่จิตใจมั่นคง
7
เส้นผมมีสีเข้ม
ชอบเคลื่อนไหว เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว เปิดเผย แต่ปากมากไปหน่อย
8
หน้าผากมีรอยย่น 3 - 4 เส้น
เป็นคนเข้มแข็ง ร่างกายแข็งแรง อายุยืน มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน
9
หน้าผากส่วนล่างยื่นออก
มีความสามารถในการสังเกตและวิเคราะห์ มองโลกในแง่ดี ไม่ว่าทำอะไรต่างชอบเอาชนะ
10
หน้าผากกว้าง
มีสติสัมปชัญญะ สุภาพอ่อนโยน หากเป็นสตรีจะเป็นม่าย